แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกการเงินของโจทก์ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แทนโจทก์แล้วไม่ส่งให้โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นใช้เงินคืนโจทก์เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ดังฟ้อง เพียงแต่จำเลยที่ 1ประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยอื่นเอาเงินของโจทก์ไป ซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุละเมิดดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างโจทก์โดยเป็นหัวหน้าแผนกการเงิน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นลูกจ้างโจทก์โดยเป็นผู้ช่วยจำเลยที่จำเลยทั้งสามและนายนิติสาร มานัสฤดี ร่วมกันรับเงินไว้แทนโจทก์แล้วไม่นำลงบัญชีของโจทก์ตามระเบียบและไม่นำเข้าฝากธนาคารโดยร่วมกันนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นจำนวนเงิน ๑๕๔,๖๖๐.๕๐ บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่รับเงินแทนโจทก์และไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ รับเงินแล้วไม่มอบแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ส่งมอบเงินที่ได้รับมาแก่จำเลยที่ ๑ แล้ว จึงไม่ต้องรับผิดชอบ หากต้องรับผิดก็เป็นจำนวนเงินเพียง ๕๘,๕๑๕ บาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงิเก็บรักษาเงิน จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนศาลชั้นต้นสืบพยาน จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนายนิติสาร มานัสฤดี เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และให้เรียกจำเลยร่วมว่าจำเลยที่ ๔
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ เคยไปช่วยงานจำเลยที่ ๑เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีหน้าที่รับเงินแทนโจทก์ จำเลยที่ ๔ ไม่ต้องรับผิด หากจะต้องรับผิดก็เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๑๖,๔๕๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๑๐๔,๘๔๐.๕๐ บาทจำเลยที่ ๓ ชำระเงินจำนวน ๓๓,๓๗๐ บาท จำเลยที่ ๔ ชำระเงินจำนวน๑๖,๔๕๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินของจำเลยแต่ละคนที่จะต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้คืนแก่โจทก์จนครบ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๑๕๔,๖๖๐.๕บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ส่งเงินให้โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมรู้เห็นในการที่จำเลยอื่นไม่ส่งเงินนี้ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ได้ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ดังที่โจทก์ฟ้อง แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหัวหน้าแผนกการเงินมีหน้าที่รับเงินจากจำเลยอื่นแล้วนำส่งให้โจทก์โดยการนำฝากเข้าบัญชีโจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงต้องตรวจสอบยอดเงินให้ตรงกับใบนำส่งเงินและสมุดคุมยอดรายรับรายจ่าย หากมีการส่งเงินให้จำเลยที่ ๑ ไม่ครบ จำเลยที่ ๑ ก็น่าจะตรวจพบได้ อันเข้าลักษณะประมาทเลินเล่อ ปล่อยให้จำเลยอื่นเอาเงินของโจทก์ไปก็ตาม แต่โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยประมาทเลินเล่อในลักษณะดังกล่าวและให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพราะเหตุนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ดังนั้น จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.