คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พฤตติการณ์ที่ถือว่า เป็นตัวการฐานลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นลงโทษฐานลักทรัพย์ตาม มาตรา 295,54, จำคุก 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้ลงโทษตามมาตนา 321 ,59 จำคุก 6 เดือน โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่ามีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในเคหะสถานของนายเลี่ยม ต่อมาจับของกลางหมายเลข ๑ถึง ๗ ได้ที่บ้านนายเสริม จำเลย และเก็บของกลางหมายเลข ๘-๙ ได้ระหว่างทาง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองสมคบกันลักทรัพย์ หรือรับทรัพย์ ของกลางหมายเลข ๑ ถึง ๙ ไว้จากผู้ร้ายโดยรู้ว่า ได้มาจากการกระทำผิด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ระหว่างพิจารณา นายเสริม จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้รับของกลางหมายเลข ๑ ถึง ๗ไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้ายได้มาจากการกระทำผิด เมื่อทำการพิจารณาเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นายเสริมจำเลย มีความผิดตามมาตรา ๒๙๕ จำคุก ๒ ปี ลดโทษให้ตามมาตรา ๕๙ แล้ว คงจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน กับให้ใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน ๒๓๖๐ บาท ๓๐ ส.ต. นายสีไม่มีความผิด ให้ปล่อยตัวไป.
นายเสริมจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่านายเสริมจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร ให้จำคุก ๑ ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก ๖ เดือน ไม่ต้องใช้ราคาทรัพย์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า
๑.นายเสริมจำเลยได้ไปที่ร้านเจ่าทรัพย์ในวันที่จะเกิดเหตุหลายครั้ง มีพวกไปด้วย
๒.ในคืนเกิดเหตุนายเสริมจำเลยไปกับพวก รู้กันว่าจะไปลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ นายเสริมจำเลยคอยอยู่ข้างนอก เพราะนายเสริมจำเลยร้จักคุ้นเคยกับเจ้าของทรัพย์แล้วเจ้าทรัพย์จะจำหน้าได้
๓.เมื่อลักทรัพย์ได้แล้วแบ่งกัน นายเสริมจำเลยได้รับส่วนแบ่งคือ ของกลางหมายเลข ๑ ถึง ๗
ศาลฎีกาเห็นว่า นายเสริมจำเลยได้สมคบร่วมคิดและร่วมมือกระทำความผิดรายนี้กับพรรคพวก ต้องเป็นตัวการลักทรัพย์ด้วยกัน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดียืนตามศาลชั้นต้น.

Share