คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยหรือให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ แต่โจทก์หาได้นำสืบให้ได้ความว่าวันเกิดเหตุจำเลยพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะและสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นป่าและไร่ถั่วลิสงมีทางเกวียนยากแก่การสัญจรอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านนั้นก็ไม่ได้ความว่าเป็นทางสาธารณะดังโจทก์ฟ้อง ดังนี้จะสันนิษฐานว่าจำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนผ่านเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะเพื่อให้จำเลยต้องรับโทษหาได้ไม่ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคแรก ก็มิได้หมายความว่า หากจำเลยรับสารภาพแล้วศาลจะต้องพิพากษาลงโทษเสมอไปเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริงศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185วรรคแรกได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 91, 371 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4ริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้กระทำผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนเข้าไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ ส่วนข้อหาพยายามฆ่า จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานมีอาวุธ 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 3 เดือน และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 80 จำคุก 10 ปี จำเลยรับว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 7 ปี3 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 91, 371 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ไม่ริบของกลางโทษจำคุกฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตให้รอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืนแก๊ปยาว หมายเลขทะเบียน พร.1/7675 พร้อมกระสุนปืน 1 นัด ไว้ในความครอบครอง และจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงในขณะเกิดเหตุ 1 นัด ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะหรือไม่ เห็นว่าการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยหรือให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด แต่ข้อหาความผิดดังกล่าวโจทก์หาได้นำสืบให้ได้ความว่าวันเกิดเหตุจำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะดังที่โจทก์ฟ้องเลย ตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมายปจ.1 ลักษณะของสถานที่เกิดเหตุอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านเป็นป่าและไร่ถั่วลิสงแม้จะมีทางเกวียนเข้าไร่ก็ยากแก่การสัญจรไปมาและไม่ปรากฎว่าเป็นทางสาธารณะ จะสันนิษฐานว่าจำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนผ่านเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ เพื่อให้จำเลยต้องรับโทษหาได้ไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่ก็ภายหลังจากที่โจทก์สืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว และที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคแรก บัญญัติว่าถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้นั้น มิได้หมายความว่าเมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วจะต้องพิพากษาลงโทษเสมอไป เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรกได้
ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า จำเลยยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายสุรชัย วงศ์แพทย์ผู้เสียหาย พยานโจทก์ว่า เมื่อจำเลยลงจากดอยมาเล็กน้อย จำเลยใช้อาวุธปืนแก๊ปยาวจ้องมาทางผู้เสียหาย ผู้เสียหายหมอบลง จึงได้ยินเสียงลงผ่านผู้เสียหายไป ขณะจำเลยยิงปืนผู้เสียหายจึงไม่เห็นว่าจำเลยจ้องปากกระบอกปืนมาทางผู้เสียหายหรือไม่ เพราะผู้เสียหายหมอบลงเสียก่อน นางผ่องศรี ดาวดึงษ์ และนายสมาน วงศ์แพทย์ พยานโจทก์เบิกความว่า เห็นจำเลยจ้องปืนมาทางผู้เสียหาย ที่นางผ่องศรีว่าได้ยินเสียงลูกปืนดังหวิวเข้าหูแสดงว่ากระสุนปืนเฉียดหูนางผ่องศรีไป แต่นายสมานเบิกความว่าได้ยินเสียงกระสุนปืนข้ามศีรษะนางผ่องศรีไป จึงแตกต่างกันอยู่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า พยานทั้งสองอยู่ข้างหลังใกล้กับผู้เสียหาย และมีพวกผู้เสียหายอยู่บริเวณนั้นอีกหลายคน ถ้าจำเลยยิงปืนมาทางผู้เสียหายจริง กระสุนปืนซึ่งมีอยู่ถึง 5 เม็ด น่าจะถูกใครคนใดคนหนึ่งบ้าง แต่ไม่ถูกใครเลย ทั้งจำเลยยิงมาจากที่สูงจึงน่าจะมีร่องรอยของกระสุนปืนถูกพื้นดินบริเวณที่ผู้เสียหายกับพวกยืนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยอีกเช่นกันหลังจากจำเลยยิงปืนแล้ว จำเลยใช้มีดโต้แกว่งลักษณะขู่ผู้เสียหายกับพวก แต่ก็หาได้ทำร้ายผู้เสียหายแต่ประการใดไม่ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ลำพังแต่นายสมานแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทันทีทันใดหลังจากเกิดเหตุ ยังไม่เป็นหลักฐานให้รับฟังได้ว่าจำเลยยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า…”
พิพากษายืน.

Share