แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิด คงมีแต่คำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนของ ป. พี่ชายจำเลยว่า หลังเกิดเหตุ2 วัน จำเลยบอก ป. ว่า จำเลยฆ่าผู้ตายและได้เก็บทรัพย์ที่ชิงไปจากผู้ตายไว้ที่บ้าน ลำพังคำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวจะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยชิงทรัพย์และฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 ซึ่งเป็นบทหนักให้ประหารชีวิต ลดโทษหนึ่งในสามคงจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2529 เวลาประมาณ 4 นาฬิกานางปรุง แก้วเสน ผู้ตายออกจากบ้าน ตำบลเขาปูน อำเภอห้วยยอดจังหวัดตรัง ไปตัดยางที่สวนทางทิศตะวันตกห่างบ้านประมาณ 1 กิโลเมตรและถูกคนร้ายฆ่าตาย คนร้ายได้เอาเงินสด สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือทองคำ แหวนทองคำ ราคารวม 41,500 บาท จากตัวผู้ตายไปด้วยคดีมีปัญหาว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิด คงได้ความจากนายบุญเลิศทองสมอินทร์ ซึ่งกำลังตกปลาที่ลำห้วยไม้ไผ่ติดสวนยางผู้ตายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และนายบุญเชื้อ แก้วเสน ซึ่งกำลังเก็บน้ำยางในสวนยางที่อยู่ติดสวนยางผู้ตายทางทิศตะวันออกว่าในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2529 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา คนทั้งสองได้ยินเสียงปืนดัง 3 นัด จากสวนยางผู้ตาย อีก 1 ถึง 2 นาที ต่างเห็นจำเลยวิ่งออกจากสวนยางผู้ตายเข้าไปในสวนยางนายล้อมซึ่งอยู่ทางทิศเหนือคนละฝั่งลำห้วยกับสวนยางผู้ตาย โดยนายบุญเลิศทองสมอินทร์ เห็นจำเลยถืออาวุธปืนพกสั้นในระยะห่างประมาณ25 เมตร และนายบุญเชื้อเห็นจำเลยถือวัตถุสีดำซึ่งเชื่อว่าเป็นอาวุธปืนในระยะห่างประมาณ 3 เส้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำเบิกความพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวยังมีข้อพิรุธ กล่าวคือนายบุญเลิศ ทองสมอินทร์ ตอบคำถามค้านว่า ในวันเกิดเหตุพยานพบนายวิกบิดานายบุญเลิศ แก้วเสน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4-5 คน ขณะไปดูศพ พยานไม่ได้บอกบุคคลดังกล่าวว่าเห็นคนร้าย พยานเพิ่งบอกนายบุญเลิศ แก้วเสน สามีผู้ตายหลังเกิดเหตุ 10 กว่าวัน และนายบุญเชื้อเบิกความว่าในคืนเกิดเหตุได้พบบุคคลดังกล่าวที่วัดที่ตั้งศพผู้ตาย พยานก็ไม่ได้บอกบุคคลดังกล่าวแต่อย่างใดว่าได้พบจำเลยบริเวณที่เกิดเหตุหลังมีเสียงปืนดัง นอกจากนี้ร้อยตำรวจตรีสมศักดิ์ ธรรมพากรณ์พนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งความก็เบิกความว่า สามีผู้ตายได้แจ้งในวันเกิดเหตุเพียงว่า ผู้ตายถูกฆ่าตายในสวนยาง ต่อมาสืบสวนได้ความจากนายบุญเลิศ ทองสมอินทร์ นายบุญเชื้อ เพียงว่าหลังมีเสียงปืนดัง นายบุญเลิศ ทองสมอินทร์ เห็นจำเลยวิ่งผ่านไปส่วนนายบุญเชื้อเห็นจำเลยเดินไปทางทิศเหนือ แสดงว่าไม่มีผู้แจ้งร้อยตำรวจตรีสมศักดิ์ว่านายบุญเลิศ ทองสมอินทร์นายบุญเชื้อเห็นจำเลยถืออาวุธปืนออกจากสวนยางที่เกิดเหตุหลังมีเสียงปืนแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่า นายบุญเลิศ ทองสมอินทร์นายบุญเชื้อต่างเป็นเพื่อนบ้านมีสวนยางติดสวนผู้ตาย ถ้าหากนายบุญเลิศ ทองสมอินทร์ นายบุญเชื้อต่างเห็นจำเลยถืออาวุธปืนวิ่งออกจากสวนยางผู้ตายในทันใดหลังมีเสียงปืนดังจริง ก็สมควรที่จะเกิดความสงสัยและรีบแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือกำนันผู้ใหญ่บ้านเสียทันทีแล้ว แต่กลับไม่แจ้งทั้งที่ไม่มีสาเหตุที่จะเกรงกลัวจำเลย โดยเฉพาะนายบุญเชื้อที่อ้างว่าเห็นจำเลยถือวัตถุสีดำซึ่งเชื่อว่าเป็นอาวุธปืนนั้นปรากฏว่านายบุญเชื้อเห็นในระยะห่างถึงประมาณ 3 เส้น และตามแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 บริเวณดังกล่าวเป็นสวนยางไม่น่าเชื่อว่านายบุญเชื้อจะเห็นตามที่อ้าง แม้จะได้ความจากร้อยตำรวจตรีสมศักดิ์ และนายปัญญา บุญคาร พี่ชายจำเลยว่า หลังเกิดเหตุ2 วัน จำเลยบอกนายปัญญาว่า จำเลยฆ่าผู้ตายและได้เก็บทองคำไว้ที่บ้าน ชั้นสอบสวนร้อยตำรวจตรีสมศักดิ์ได้บันทึกคำให้การของนายปัญญาไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 แต่เมื่อคำเบิกความของนายบุญเลิศ ทองสมอินทร์ และนายบุญเชื้อที่อ้างว่าเห็นจำเลยถืออาวุธปืนวิ่งออกจากสวนยางที่เกิดเหตุในทันทีทันใดหลังเสียงปืนไม่น่าเชื่อถือแล้ว ลำพังคำเบิกความนายปัญญาและบันทึกคำให้การนายปัญญาในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.2ดังกล่าวจึงจะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์