แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนที่จำเลยจะออกคำสั่งให้โจทก์ทั้งสี่ไปปฏิบัติงานที่สาขาโพนพิสัย จำเลยได้เสนอทางเลือกให้โจทก์ทั้งสี่ก่อนแล้วคือให้ไปทำงานกับบริษัทที่รับซื้อกิจการและรับโอนพนักงานของจำเลยที่กรุงเทพมหานครทั้งหมดโดยให้โจทก์ได้รับตำแหน่งเดิม รายได้เท่าเดิม และปฏิบัติงานอยู่สถานที่เดิม หรือย้ายไปประจำที่สาขาโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นกิจการเพียงแห่งเดียวของจำเลยที่เหลืออยู่ หรือลาออกจากบริษัทจำเลย แต่โจทก์ทั้งสี่ไม่เลือกทางใดทางหนึ่ง จำเลยจึงมีความจำเป็นต้องสั่งให้โจทก์ทั้งสี่ไปทำงานที่สาขาอำเภอโพนพิสัยในตำแหน่งเดิม อัตราเงินเดือนเดิม คำสั่งของจำเลยดังกล่าวมิได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือแกล้งโจทก์ทั้งสี่ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม เมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่ยอมไปทำงานตามคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (5) และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 และ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 17,782 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 11,750 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 8,930 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 12,847 บาท และคืนเงินประกันความเสียหายแก่โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 7,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 133,500 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 60,000 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 57,000 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 49,200 บาท และจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 7,860 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 340,500 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 105,000 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 171,000 บาท และโจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 42,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่สำนวนจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 17,782 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 11,750 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 8,930 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 12,847 บาท และคืนเงินประกันความเสียหายแก่โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 7,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (8 เมษยน 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 113,500 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 60,000 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 57,000 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 49,200 บาท และจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 7,860 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่สำนวนว่า คำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์ทั้งสี่ไปทำงานที่สาขาอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมหรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสี่หรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่จำเลยจะออกคำสั่งให้โจทก์ทั้งสี่ไปทำงานที่สาขาอำเภอโพนพิสัยนั้น จำเลยได้เสนอทางเลือกให้โจทก์ทั้งสี่เลือกก่อนแล้ว โดยทางเลือกตามหนังสือเสนอทางเลือก คือ หนึ่ง ไปทำงานกับบริษัทชาร์ค จำกัด ในตำแหน่งเดิม รายได้เท่าเดิมและปฏิบัติงานอยู่ที่สถานที่เดิม ทั้งจะได้อายุงานเพิ่มขึ้นอีก 1 ถึง 3 ปี นับแต่วันที่ได้เข้าทำงานกับบริษัทชาร์ค จำกัด ทั้งนี้แล้วแต่อายุงานที่ทำมากับจำเลย สอง ย้ายไปประจำที่สาขาของจำเลยที่อำเภอโพนพิสัยจังหวัดหนองคาย ในตำแหน่งเดิมและรายได้เท่าเดิม และสาม ลาออก แต่โจทก์ทั้งสี่ไม่เลือกเอาทางใดทางหนึ่ง ดังนี้จำเลยในฐานะเจ้าของกิจการจำแป็นต้องใช้อำนาจในการบริหารจัดการสั่งให้โจทก์ทั้งสี่ไปทำงานที่สาขาอำเภอโพนพิสัย ซึ่งเป็นกิจการเดียวที่จำเลยยังคงมีอยู่และเป็นงานที่อยู่ในระยะเริ่มดำเนินการ จำเป็นต้องมีพนักงานทำงานทั้งเป็นการทำงานในตำแหน่งเดิมและอัตราเงินเดือนเดิม เนื่องจากจำเลยไม่มีงานที่สำนักงานใหญ่ให้โจทก์ทั้งสี่ทำ แม้สาขาดังกล่าวจะอยู่ถึงจังหวัดหนองคายก็ตาม คำสั่งของจำเลยมิได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสี่ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม เมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่ยอมไปทำงานที่สาขาอำเภอโพนพิสัยตามคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (5) และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคท้าย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่จงใจให้จำเลยได้รับความเสียหาย และโจทก์ทั้งสี่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือระเบียบหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสี่นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ทั้งสี่เกี่ยวกับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.