คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3752/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ของแผ่นดินซึ่งพลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกัน แต่เมื่อโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อน จำเลยเข้าไปแย่งการครอบครองทำประโยชน์เช่นนี้ในระหว่างโจทก์จำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทจึงดีกว่าจำเลย การที่จำเลยเข้าไปแย่งไถนาหว่านข้าวในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา 22 ปีแล้วทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว 2 เกวียนเป็นเงิน 6,400 บาท มิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่า ต่างคนต่างทำละเมิดต่อโจทก์ และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่า ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ 6,400 บาทดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้แบ่งซื้อที่ดินจากนายวิศิษฐ์ วังตาล เนื้อที่ ๑๐ ไร่ และได้แบ่งแยกเป็นโฉนดเลขที่ ๑๗๘๙๔ ตำบลสระพัฒนา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โจทก์ได้เข้าทำนาแปลงดังกล่าวของโจทก์กับเข้าทำนาในที่สาธารณะที่อยู่ปลายนาทางทิศเหนือซึ่งติดกับที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ ๗ ไร่ ๒ งานและทำติดต่อกันจนบัดนี้เป็นเวลา ๒๒ ปีแล้ว ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องได้ข้าวปีที่แล้วจำนวน ๒ เกวียน ราคาเกวียนละ ๓,๒๐๐ บาทเป็นเงิน ๖,๔๐๐ บาท เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้จำเลยทั้งสี่คนได้บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่สาธารณะที่โจทก์เคยทำมาก่อนโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ต้องขาดประโยชน์รายได้ในการทำนาเป็นเงิน ๖,๔๐๐ บาท ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เจ้าไปเกี่ยวข้องในที่สาธารณะที่โจทก์เคยทำมาก่อน ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหาย ๖,๔๐๐ บาทในปี ๒๕๒๖ และปีต่อไปปีละ ๖,๔๐๐ บาท จนกว่าจำเลยจะเลิกเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่าได้เช่าที่ดินผู้อื่นทำนาที่สาธารณะดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินที่จำเลยเช่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ จึงมีสิทธิเข้าทำนาในที่สาธารณะนั้น และมิได้เข้าทำประโยชน์ในส่วนของโจทก์ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย และตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหากล่าวคือมิได้ระบุว่าจำเลยทั้งสี่ผู้ใดเข้าไปแย่งไถนาหรือหว่านข้าวในส่วนไหนเนื้อที่เท่าใดในที่สาธารณะและโจทก์มิได้ระบุว่าโจทก์ลงทุนเท่าใดหักต้นทุนแล้วเสียหายเท่าใด จำเลยทั้งสามไม่อาจเข้าใจฟ้องของโจทก์และไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าแม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณะประโยชน์ของแผ่นดินซึ่งพลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกัน แต่เมื่อโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว จำเลยทั้งสี่เข้าไปแย่งการครอบครองทำประโยชน์เช่นนี้ ในระหว่างโจทก์จำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทจึงดีกว่าจำเลย การที่จำเลยทั้งสี่เข้าไปแย่งไถนาหว่านข้าวในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ได้
ในปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้วเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนโดยระบุสภาพแห่งข้อหาว่าร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยทั้งสี่บังอาจเข้าไปแย่งไถนาและหว่านข้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ทำมา ๒๒ ปีแล้ว ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์คือข้าว ๒ เกวียนเป็นเงิน ๖,๔๐๐ บาท มิใช่ฟ้องจำเลยแต่ละคนว่าต่างคนต่างหาละเมิดต่อโจทก์และที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแย่งไถนาและหว่านข้าวมีเนื้อที่ ๗ ไร่ ๒ งาน อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องส่วนคำขอบังคับของโจทก์ก็มีว่า ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่มิให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่พิพาทและใช้ค่าเสียหายปีละ ๖,๔๐๐ บาท ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
พิพากษายกคำพิพากษาาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่

Share