คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 375/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินสองแปลงโดยระบุว่าจำเลยเป็นผู้อาศัย จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงหนึ่ง ส่วนอีกแปลงหนึ่งมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ ที่ดินแปลงที่จำเลยมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์นี้เมื่อคำนวณค่าเช่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงก็ดี หรือค่าตอบแทนที่จำเลยได้รับจากที่ดินแปลงนี้ก็ดี อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาทแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและบ้านเลขที่ 6 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินนั้นของโจทก์ เมื่อปรากฏว่าจำเลยต่อเติมบ้านดังกล่าว 1 ห้องนอน เป็นการต่อเติมอย่างถาวร แม้จำเลยจะไปขอเลขบ้านใหม่เป็นบ้านเลขที่ 6/2 ส่วนที่ต่อเติมนี้ย่อมเป็นส่วนควบกับบ้านหลังเดิมและที่ดิน ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 6/2 ได้ ไม่เกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๓๘๖๙ และเป็นเจ้าของร่วมกับผู้อื่นในที่ดินโฉนดที่ ๓๘๖๘ ตำบลหมอนทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราและเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ ๖ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดที่ ๓๘๖๘ ดังกล่าว โจทก์ให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรอาศัยในบ้านและที่ดินทั้งสองแปลง เมื่อวันที่๑๔ มิถุนายน ๒๕๒๒ โจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว จำเลยขัดขวางและไม่เคารพโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว และห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินแปลงโฉนดที่ ๓๘๖๙ เนื้อที่ ๕๙ ไร่ โจทก์ซื้อมาราคา ๓๓๓ บาท จำเลยช่วยออกให้ ๑๗๐ บาท โจทก์แบ่งที่ดินให้จำเลย ๓๐ ไร่จำเลยครอบครองอย่างเป็นเจ้าของติดต่อกันมา ๒๐ ปี ส่วนของโจทก์ ๒๙ ไร่ โจทก์ให้จำเลยเช่าทำนา ส่วนที่ดินแปลงโฉนดที่ ๓๘๖๘ โจทก์กับโจทก์ร่วมซื้อมาจากผู้อื่นจำเลยออกเงินทดรองให้ ๑๒,๐๐๐ บาท โจทก์และโจทก์ร่วมมอบที่ดินให้จำเลยทำประโยชน์ตลอดมา โจทก์จะเอาคืนต้องชำระเงินให้จำเลยก่อน ส่วนบ้านเลขที่ ๖ จำเลยไม่ได้ไปอยู่อาศัย ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน นางสาวพยูร บุญน่วม ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๘๖๘, ๓๘๖๙ และออกจากบ้านเลขที่ ๖ และ ๖/๒ หมู่ ๒ ตำบลหมอนทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นบ้านหลังเดียวกันและห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยช่วยออกเงินทดรองให้โจทก์ซื้อที่ดิน โฉนดที่ ๓๘๖๘ นั้น เห็นว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่นา เนื้อที่ ๓๕ ไร่ ๒ งาน ๑๘ ตารางวา เมื่อคำนวณอัตราค่าเช่าไม่ว่าจะโดยคิดเทียบเคียงจากค่าเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๘๖๙ ซึ่งอยู่ตำบลเดียวกัน ตามคำให้การจำเลยว่า ค่าเช่าคิดเป็นข้าวเปลือกไร่ละ ๕ ถังต่อปี หรือคิดเทียบเคียงจากอัตราค่าตอบแทนตามที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าทำกินในที่ดินแปลงนี้เป็นการชดเชยเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ที่จำเลยออกทดรอง ก็เป็นที่เห็นได้เป็นการแน่นอนว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๘๖๘ อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคดีเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนปัญหาที่ว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ ๖ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ ๖/๒ เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่นั้นเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้ต่อเติมบ้านเลขที่ ๖ ของโจทก์มีห้องนอน ๑ ห้อง แล้วจำเลยขอเลขบ้านใหม่เป็นบ้านเลขที่ ๖/๒ การต่อเติมเป็นการต่อเติมอย่างถาวรจะให้เป็นส่วนควบกับบ้านหลังเดิม คือบ้านเลขที่ ๖ ประกอบกับส่วนที่ต่อเติมนี้อยู่ในที่ดินโฉนดที่ ๓๘๖๘ ของโจทก์ จึงเป็นส่วนควบกับบ้านหลังเดิมและที่ดิน ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อบ้านเลขที่ ๖/๒ เป็นส่วนควบตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาจึงไม่เกินคำขอพิพากษายืน

Share