คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3749/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อาจมีคำสั่งตามคำขอของคู่ความที่ขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้โดยไม่จำต้องไต่สวนก่อน เพราะการสั่งในกรณีเช่นนี้กฎหมายเพียงแต่บัญญัติให้ศาลมีอำนาจทำการไต่สวนได้ตามที่เห็นสมควรก่อนมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21(4) ประกอบมาตรา 264 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาท1 ใน 8 ส่วน การที่โจทก์มีคำขอและศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจให้มีผู้จัดเก็บผลประโยชน์รายได้ในที่ดินเป็นดอกผลมาวางต่อศาลชั้นต้นเป็นรายเดือนจนกว่าศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น ย่อมเป็นการสมควร เพราะหากศาลชี้ขาดตัดสินให้โจทก์ชนะคดีในที่สุดโจทก์ย่อมจะได้รับแบ่งที่ดินรวมทั้งดอกผลในทรัพย์สินส่วนที่เป็นของโจทก์ตามที่ขอบังคับมาในฟ้องด้วย

ย่อยาว

เดิมศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้แบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 582ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิได้รับ 1 ใน 8 ส่วน หากไม่สามารถทำได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งคำขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์ โดยโจทก์ทั้งสี่ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ด้วย จำเลยทั้งเจ็ดยื่นคำแถลงคัดค้านคำร้อง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับจำเลยคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรแต่งตั้งขึ้นให้เป็นผู้จัดเก็บผลประโยชน์รายได้ในที่ดินโฉนดเลขที่ 582 แล้วให้นำดอกผลนั้นมาวางต่อศาลชั้นต้นจำนวน 1 ใน 8 ส่วน เป็นรายเดือนไปนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นจะกำหนดจนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษา จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งเจ็ดพอถือได้ว่าเป็นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์2532 ซึ่งอนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสี่ผู้ขอในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 ไม่ใช่ตามมาตรา 254 หรือมาตรา 255 ฉะนั้นเมื่อปรากฏว่าคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจสั่งได้ ส่วนเรื่องไต่สวนกฎหมายเพียงแต่บัญญัติให้ศาลมีอำนาจทำการไต่สวนได้ตามที่เห็นสมควรก่อนมีคำสั่ง ซึ่งถ้าหากศาลเห็นว่ากรณีไม่จำต้องมีการไต่สวน ก็อาจมีคำสั่งไปได้โดยไม่จำต้องมีการไต่สวนคำขอก่อนก็ได้ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(4) ประกอบมาตรา 264 ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ดที่ว่า ศาลชั้นต้นได้สั่งยกฟ้องในเรื่องดอกผลบนที่ดินโฉนดที่ 582 ไปแล้ว จึงขอให้ยกคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ด้วยนั้น เห็นว่าโจทก์มีสิทธิ1 ใน 8 ส่วนของที่พิพาทตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจให้มีผู้จัดเก็บผลประโยชน์รายได้ในที่ดินเป็นดอกผลมาวางต่อศาลชั้นต้นเป็นรายเดือนจนกว่าศาลอุทธรณ์พิพากษานั้นจึงเป็นการสมควร เพราะหากศาลชี้ขาดตัดสินให้โจทก์ทั้งสี่ชนะคดีในที่สุด โจทก์ทั้งสี่ย่อมจะได้รับแบ่งที่ดินจากจำเลยทั้งเจ็ดรวมทั้งดอกผลในทรัพย์สินส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสี่ตามที่ขอบังคับมาในฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งของศาลอุทธรณ์”
พิพากษายืน

Share