คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยได้ขายรถยนต์พิพาทให้ผู้ร้องสอดแต่กลับรับรถยนต์นั้นไว้ก่อน กรณีถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้การครอบครองรถยนต์ไว้โดยสุจริต การที่โจทก์นิ่งเสียไม่แจ้งเรื่องที่โจทก์ได้ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยให้ผู้ร้องสอดทราบในขณะที่ผู้ร้องสอดและจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกันยังไม่เสร็จ ย่อมทำให้ผู้ร้องสอดหลงผิดเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทให้ผู้ร้องสอดได้ ดังนี้ โจทก์จะมาอ้างในภายหลังว่ารถยนต์ดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว จำเลยไม่มีกรรมสิทธิ์ที่จะโอนให้ผู้ร้องสอดอีก เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยตกลงขายรถยนต์ให้โจทก์และรับเงินไปครบแล้วในวันนั้น ต่อมาวันที่1 มีนาคม 2527 จำเลยส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์และมอบฉันทะให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการโอนทางทะเบียนโดยจะนำทะเบียนรถยนต์มามอบให้ในวันที่ 15 มีนาคม 2527 แต่แล้วจำเลยไม่กระทำ ขอให้จำเลยโอนทะเบียนรถยนต์ให้เป็นชื่อโจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากขัดข้องโอนไม่ได้ให้จำเลยคืนเงิน500,000 บาท
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่า เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2527จำเลยตกลงขายรถยนต์ตามฟ้องให้ผู้ร้อง ผู้ร้องชำระเงินให้จำเลยครบแล้วในวันนั้น และจำเลยมอบทะเบียนรถยนต์กับลงลายมือชื่อในเอกสารให้ผู้ร้องไปจดทะเบียนโอน โดยจะนำรถยนต์ไปมอบให้ในภายหลัง โจทก์ทราบข้อตกลงดังกล่าวโดยตลอด แต่พอผู้ร้องยื่นเรื่องขอโอนรถยนต์ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการโอนผู้ร้องแจ้งให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์แก่ผู้ร้องและถอนการคัดค้านขอให้โจทก์ถอนคำร้องคัดค้าน หากไม่ถอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์และใช้ค่าเสียหาย หากส่งมอบไม่ได้ให้โจทก์และจำเลยร่วมกันใช้ราคา
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดว่า จำเลยตกลงขายรถยนต์ให้โจทก์แล้วกรรมสิทธิ์ตกเป็นของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธินำไปขายให้ผู้ร้องอีก และโจทก์ได้ครอบครองรถยนต์ตลอดมาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2527
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนทะเบียนรถยนต์ บี เอ็ม ดับบลิว520 ไอ หมายเลขทะเบียน ก.5080 นครราชสีมา ให้โจทก์ และให้ผู้ร้องสอดถอนเรื่องราวขอจดทะเบียนโอนรถยนต์คันนั้นต่อนายทะเบียนจังหวัดนครราชสีมา มิฉะนั้น ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้ผู้ร้องสอดส่งมอบทะเบียนรถยนต์บีเอ็ม ดับบลิว520 ไอ หมายเลขทะเบียน ก.5080 นครราชสีมา แก่โจทก์ให้จำเลยใช้เงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นของโจทก์และผู้ร้องสอดให้ยก
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยตกลงขายรถยนต์ให้ผู้ร้องสอด3 คัน รวมทั้งรถยนต์ บี เอ็ม ดับบลิว 520 ไอ หมายเลขทะเบียนก. 5080 นครราชสีมา ซึ่งเป็นรถยนต์พิพาทในราคา 700,000 บาทซึ่งผู้ร้องสอดชำระราคาให้จำเลยครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญา ส่วนจำเลยมอบทะเบียนรถยนต์ทั้งสามคัน พร้อมทั้งคำแจ้งความขอโอนและรับโอนทะเบียนรถยนต์ที่จำเลยลงลายมือชื่อแล้วให้ผู้ร้องสอดไว้ส่วนรถยนต์ทั้งสามคันจำเลยจะส่งมอบให้ผู้ร้องสอดในวันที่ 6มีนาคม 2527 ครั้นวันนัดจำเลยผิดสัญญาและขอเลื่อนไปส่งมอบรถยนต์ให้ผู้ร้องสอดในวันที่ 19 เดือนเดียวกัน วันนัดจำเลยผิดสัญญาอีกแต่ได้แจ้งให้ผู้ร้องสอดจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ทั้งสามคันเป็นของผู้ร้องสอดไปก่อนตามหลักฐานที่จำเลยมอบให้ไว้แล้ว ส่วนรถยนต์ทั้งสามคันอีก 2-3 วัน จำเลยจะนำมามอบให้ ผู้ร้องสอดจึงยื่นเรื่องราวต่อแผนกทะเบียนยานพาหนะจังหวัดนครราชสีมาเพื่อโอนทะเบียนรถยนต์ทั้งสามคันมาเป็นของผู้ร้องสอด แต่โอนทะเบียนได้เพียง 2 คัน ส่วนรถยนต์พิพาทเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่อาจโอนทะเบียนมาเป็นของผู้ร้องสอดได้ เพราะโจทก์ยื่นคำคัดค้านได้ โดยที่จำเลยขายรถยนต์พิพาทให้โจทก์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 และส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์ในวันที่ 1 มีนาคม 2527 สำหรับทะเบียนรถยนต์จำเลยจะส่งมอบไปให้วันหลัง โจทก์ชำระราคารถยนต์พิพาทให้จำเลย500,000 บาท แล้วในวันทำสัญญา คดีมีปัญหาว่า โจทก์ได้การครอบครองรถยนต์พิพาทไว้โดยสุจริตหรือไม่ ผู้ร้องสอดมีตัวผู้ร้องสอดและนายชัยศรีเป็นพยาน เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เมื่อจำเลยมารับเงิน 700,000 บาท ค่าราคารถยนต์สามคันที่ธนาคารนครหลวงไทยจำกัด สาขานครราชสีมา ตามที่ผู้ร้องสอดนัดหมาย ปรากฏว่าโจทก์มากับจำเลยด้วยและเมื่อจำเลยรับเงินจำนวนนั้นไปแล้วได้มอบเงินนั้นให้โจทก์รับไป ภายหลังที่โจทก์คัดค้านไม่ให้โอนทะเบียนรถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้องสอดแล้วพันตำรวจเอกสำเริง แสงวิรุฬผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งรู้จักโจทก์และผู้ร้องสอดทั้งสองฝ่ายเบิกความเป็นพยานผู้ร้องสอดว่าได้เรียกทั้งสองฝ่ายไปไกล่เกลี่ย ฝ่ายโจทก์รับว่าได้รับเงิน 700,000 บาทจริง แต่ไม่ยอมมอบรถยนต์พิพาทให้ผู้ร้องสอดเพราะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองรถยนต์พิพาท โจทก์มีสิทธิดีกว่า คำเบิกความของพันตำรวจเอกสำเริงจึงประกอบข้อนำสืบของผู้ร้องสอดให้เชื่อได้ว่า เมื่อจำเลยไปรับเงินค่าขายรถยนต์ให้ผู้ร้องสอดโจทก์ไปด้วย และเมื่อโจทก์คัดค้านไม่ให้โอนทะเบียนรถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้องสอดแสดงว่าโจทก์ทราบอยู่แล้วตั้งแต่วันที่โจทก์รับเงินจากจำเลยว่า นอกจากจำเลยจะขายรถยนต์มาสด้า และรถยนต์บี เอ็ม ดับบลิว 316 ให้ผู้ร้องสอดแล้ว จำเลยได้ขายรถยนต์พิพาทให้ผู้ร้องสอดด้วยเพราะมิฉะนั้นโจทก์จะไปคัดค้านการโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทได้อย่างไร ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ไม่รู้เรื่องการขายรถยนต์พิพาทระหว่างจำเลยและผู้ร้องสอดนั้นเลื่อนลอยฟังหักล้างพยานผู้ร้องสอดไม่ได้ เมื่อโจทก์ทราบดีว่าจำเลยจะต้องโอนรถยนต์พิพาทให้ผู้ร้องสอด แต่กลับรับรถคันนั้นไว้เสียก่อนกรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้การครอบครองรถยนต์พิพาทไว้โดยสุจริตทั้งจะอ้างว่าการซื้อขายรถยนต์พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทตกเป็นของโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว จำเลยไม่มีกรรมสิทธิ์ที่โอนให้ผู้ร้องสอดอีกก็ไม่ได้เพราะการที่โจทก์นิ่งเสียไม่แจ้งเรื่องนี้ให้ผู้ร้องสอดทราบในขณะที่ผู้ร้องสอดและจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทยังไม่เสร็จเรียบร้อย ย่อมทำให้ผู้ร้องสอดหลงผิดเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้ผู้ร้องสอดได้ การที่โจทก์จะหวนกลับมาอ้างในภายหลังว่ารถยนต์พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว จำเลยไม่มีกรรมสิทธิ์ที่โอนให้ผู้ร้องสอดอีกจึงเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยทำนองคลองธรรม เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิในรถยนต์พิพาทดีกว่าโจทก์”
พิพากษากลับ ให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์ บี เอ็ม ดับบลิว 520 ไอหมายเลขทะเบียน ก. 5080 นครราชสีมา แก่ผู้ร้องสอดกับให้โจทก์ไปถอนคำคัดค้านการโอนทะเบียนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.5080นครราชสีมา ที่ผู้ร้องสอดยื่นเรื่องราวขอโอนมาเป็นของผู้ร้องสอดและให้จำเลยชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย คำขออื่นของผู้ร้องสอดและโจทก์นอกจากที่กล่าวมาแล้วให้ยก

Share