แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาทรัสต์รีซีทหาใช่เป็นการก่อตั้งทรัสต์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1686 ไม่จึงไม่ตกเป็นโมฆะ ฎีกาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การก็ตาม แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ได้
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 และศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัย จึงไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1รับผิดในดอกเบี้ยที่ค้างเพียง 5 ปี และเมื่อหนี้ของจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ร่วมกัน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา จำเลยที่ 2 ก็ได้รับประโยชน์จากข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศจึงขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่ผู้ขาย โดยจำเลยที่ ๑ สัญญาว่าจะจ่ายเงินต่าง ๆ ที่โจทก์จ่ายไปคืนโจทก์ จำเลยที่ ๒ ทำหนังสือค้ำประกันยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ต่อมาโจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้ขายไป เมื่อสินค้าที่จำเลยที่ ๑ สั่งซื้อมาถึงท่าเรือกรุงเทพฯ จำเลยที่ ๑ ไม่มีเงินชำระแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงทำสัญญาทรัสต์รีซีทให้โจทก์และรับเอกสารการส่งสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตไปออกสินค้า โดยสัญญาว่าเมื่อจำเลยที่ ๑ ขายสินค้าได้จะมอบเงินให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ มีจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แก่โจทก์เพียงบางส่วน คงค้างชำระเป็นเงิน ๖๔๐,๐๙๖.๔๐ บาท จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๕๑๕,๑๘๓.๔๙ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกิน ๕ ปี ขาดอายุความตามมาตรา ๑๖๖
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าไม่ได้ค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๖๑๓,๓๕๑.๕๑ บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน๓๑๕,๐๘๘.๒๘ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์โดยให้จำเลยที่ ๒ รับผิดเพียง ๔๘๘,๔๓๘.๖๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน ๒๕๒,๖๘๕.๒๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารโจทก์รวม ๕ รายการ โดยจำเลยที่ ๒ เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลยที่ ๑ ในรายการแรกและรายการที่สี่ โจทก์ตกลงและได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้ตามคำขอของจำเลยที่ ๑ โดยตกลงชำระหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยที่ ๑ สั่งเข้ามาจากต่างประเทศแทนจำเลยที่ ๑ ต่อมาบริษัทผู้ขายสินค้าในต่างประเทศส่งสินค้าตามที่สั่งทั้ง ๕ รายการมายังกรุงเทพฯ จำเลยที่ ๑ ติดต่อขอรับสินค้าจากโจทก์ โจทก์จึงให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาทรัสต์รีซีทไว้ ๕ ฉบับ จำเลยที่ ๒ เข้าค้ำประกันสัญญาทรัสต์รีซีทรวม ๔ ฉบับ อย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงให้จำเลยที่ ๑ รับสินค้าไป ในการทำคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีทนั้น จำเลยที่ ๑ สัญญาว่า จะชำระเงินคืนให้โจทก์เป็นค่าสินค้าที่โจทก์ออกแทนไป ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งดอกเบี้ยตามประเพณีของธนาคารโดยคิดอัตราอย่างสูงไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี เมื่อจำเลยที่ ๑ รับสินค้าไปแล้วไม่ชำระค่าสินค้าและค่าใช้จ่ายแก่โจทก์ที่ชำระแทนไปให้เสร็จสิ้นภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่ลงในสัญญาทรัสต์รีซีทตามที่ตกลงกัน
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า สัญญาทรัสต์รีซีทเป็นทรัสต์รูปหนึ่งจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๘๖ นั้นเห็นว่า แม้ข้อฎีกานี้จำเลยที่ ๑ มิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ตามแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาทรัสต์รีซีทในคดีนี้ หาใช่เป็นการก่อตั้งทรัสต์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๘๖ ไม่ จึงไม่เป็นโมฆะตามบทบัญญัติดังกล่าวและฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้เงินต้นโจทก์ในวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๑๘ ทั้งสิ้นเป็นเงิน ๓๑๕,๐๘๘.๒๘ บาท
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ ๑ ข้อสุดท้ายที่ว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ก่อหนี้รายนี้ถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน ๕ ปี จึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖ นั้น ปรากฏว่าจำเลยได้ยกข้อต่อสู้นี้ขึ้นมาตั้งแต่ชั้นให้การตลอดมา ศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นเอาไว้ในเรื่องอายุความแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองไม่วินิจฉัยข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ชอบศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ในวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๑๘ เป็นเงินทั้งสิ้น ๓๑๕,๐๘๘.๒๘ บาท โจทก์ชอบที่จะเรียกดอกเบี้ยจากเงินต้นจำนวนนี้นับถอยหลังจากวันฟ้องคือวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๕ ขึ้นไปได้เพียง ๕ ปี เท่านั้นทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ในข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อหนี้ของจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ร่วมกัน จำเลยที่ ๒ จึงได้รับประโยชน์จากข้อฎีกาของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๓๑๕,๐๘๘.๒๘ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับจากวันฟ้องถอยหลังขึ้นไป ๕ ปี และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับจำเลยที่ ๒ ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เพียง ๒๕๒,๖๘๕.๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยเช่นเดียวกับที่จำเลยที่ ๑ ชำระ การคิดดอกเบี้ยสำหรับจำเลยทั้งสองนั้นมิให้คิดอย่างทบต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.