คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3746/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หลังจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ชนเสาอากาศวิทยุของโจทก์เสียหายเป็นเงิน 35,752 บาทแล้ว จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์มีข้อความสรุปได้ว่าจำเลยทั้งสองตกลงจะซ่อมแซมและติดตั้งเสาอากาศวิทยุและอุปกรณ์วิทยุให้ถูกต้องสามารถใช้การได้ดี แข็งแรงได้มาตรฐานของทางราชการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 20 วันนับตั้งแต่วันทำสัญญา ถ้าจำเลยทั้งสองผิดสัญญายอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 90,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าเสียหายจำนวน 90,000 บาทตามหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันไว้นั้น เป็นค่าเสียหายที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าจึงเป็นเบี้ยปรับตามมาตรา 379 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และเบี้ยปรับนั้นแม้จะได้กำหนดกันไว้ในสัญญา แต่ก็มิได้บังคับไว้โดยเด็ดขาดว่าจะต้องให้เป็นไปตามนั้น ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 เฉี่ยวชนเสาอากาศวิทยุของโจทก์โค่นล้มเสียหายคิดเป็นเงิน 35,752 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองยินยอมซ่อมแซมและติดตั้งเสาอากาศวิทยุและอุปกรณ์วิทยุที่เสียหายให้ถูกต้องได้มาตรฐานของทางราชการและใช้การได้ดีให้แล้วเสร็จภายใน 20 วันนับแต่วันทำสัญญา ถ้าหากไม่สามารถซ่อมแซมและติดตั้งเสาอากาศวิทยุให้แล้วเสร็จภายในกำหนดจำเลยทั้งสองยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 90,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดสัญญา ต่อมาจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามสัญญา เป็นการผิดสัญญาข้อ 7 ด้วยซึ่งระบุว่า ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดก็ตาม ถ้าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นเงินจำนวน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 90,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 45,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 45,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนเสาอากาศวิทยุของโจทก์เสียหายเป็นเงิน35,752 บาทแล้ว จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความสรุปได้ว่า จำเลยทั้งสองตกลงจะซ่อมแซมและติดตั้งเสาอากาศวิทยุและอุปกรณ์วิทยุให้ถูกต้องสามารถใช้การได้ดี แข็งแรงได้มาตรฐานของทางราชการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 20 วันนับตั้งแต่วันทำสัญญา ถ้าจำเลยทั้งสองผิดสัญญายอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 90,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญา คดีมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ค่าเสียหายจำนวน 90,000 บาท เป็นเบี้ยปรับหรือไม่ เห็นว่าค่าเสียหายจำนวน 90,000 บาท ตามหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันไว้นั้น เป็นค่าเสียหายที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าจึงเป็นเบี้ยปรับตามมาตรา 379 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเบี้ยปรับนั้นแม้จะได้กำหนดกันไว้ในสัญญา แต่ก็มิได้บังคับไว้โดยเด็ดขาดว่าจะต้องให้เป็นไปตามนั้นศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเมื่อปรากฏว่าความเสียหายของโจทก์ทั้งหมดมีเพียง35,752 บาทเท่านั้น การที่กำหนดเบี้ยปรับไว้กรณีผิดสัญญาจำนวน90,000 บาท จึงเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้สูงเกินไป ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดเบี้ยปรับคงเหลือ 45,000 บาทเป็นจำนวนพอสมควรแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share