แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับ ส. เข้าทำงาน โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันว่า หากส.ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ว่าทางแพ่งและทางอาญา จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์โดยไม่จำกัดจำนวน ต่อมา ส. ได้ลักเอาสินค้าของโจทก์ไปคิดเป็นเงินจำนวน 17,789 บาท ขอให้จำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์ หาใช่เป็นเรื่องที่ฟ้องอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์อันจะมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 ไม่ และการใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดในกรณีเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 จำเลยให้การว่า ส. จะได้ลักเอาสินค้าของโจทก์ไปและทำให้โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่อาจรับรองได้เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับนายสมยศ ปานพงศ์ษา เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถของโจทก์ โดยมีจำเลยทำสัญญาค้ำประกันว่าหากนายสมยศก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ว่าทั้งทางแพ่งและทางอาญา จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์โดยไม่จำกัดจำนวนเงินต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม 2527 นายสมยศได้ลักเอาสินค้าประเภทเครื่องสำอางค์ของโจทก์ไปคิดเป็นเงินจำนวน 17,789 บาท โจทก์ติดต่อทวงถามให้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันนายสมยศชดใช้ค่าสินค้าแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายสมยศจะได้ลักเอาสินค้าของโจทก์ไปทำให้โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่ทราบ ไม่อาจรับรองได้และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะมูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องเกิดจากการทำละเมิด เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า คดีขาดอายุความหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับนายสมยศ ปานพงศ์ษา เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถของโจทก์ โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันว่า หากนายสมยศก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ว่าทางแพ่งและทางอาญา จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์โดยไม่จำกัดจำนวน ต่อมานายสมยศได้ลักเอาสินค้าของโจทก์ไปคิดเป็นเงินจำนวน 17,789 บาท ขอให้จำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ดังนี้ เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์หาใช่เป็นเรื่องที่ฟ้องอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์อันจะมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ไม่และการใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดในกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 10 ปี นับแต่เวลาที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยผิดสัญญาค้ำประกันหรือไม่ซึ่งประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ สำหรับในประเด็นข้อนี้จำเลยให้การว่า นายสมยศจะได้ลักเอาสินค้าของโจทก์ไปและทำให้โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่อาจรับรองได้ เห็นว่าคำให้การของจำเลยเช่นนี้ เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ ก็เป็นการไม่ชอบ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่านายสมยศได้ลักเอาสินค้าของโจทก์ไปและทำให้โจทก์เสียหายตามฟ้องเมื่อโจทก์ทวงถามจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันนายสมยศให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแล้วจำเลยไม่ชำระจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาค้ำประกันที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่นายสมยศเอาสินค้าไปจนถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 2,223 บาท นั้นฟ้องของโจทก์และทางนำสืบไม่ปรากฏชัดว่านายสมยศเอาสินค้าของโจทก์ไปตั้งแต่วันใดศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์เท่านั้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 17,789 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์