คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3734/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยแต่งตั้งให้ น. เป็นทนายความแก้ต่างแล้ว ต้องถือว่า น. เป็นตัวแทนของจำเลยในการดำเนินกระบวนพิจารณา เมื่อ น. ทราบวันนัดของศาลแล้วไม่ไปศาลตามนัดและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ต้องถือว่าจำเลยขาดนัดโดยจงใจ
ที่จำเลยฎีกาว่า แม้หากจำเลยไม่ได้ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ ศาลชั้นต้นจะต้องหมายแจ้งวันนัดสืบพยานจำเลยให้จำเลยทราบเพื่อที่จะได้สืบพยานจำเลยต่อไป ตามที่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ ปัญหานี้ แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยผู้ฎีกายกขึ้นอ้างได้
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน ทนายจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วมิได้มาศาล ทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 202 บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว คดีนี้ศาลสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยก็มิได้มาศาล แม้จำเลยจะได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ก็ต้องถือว่าคดีเสร็จการพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาคดีไปได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน6,765,783.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีจากต้นเงิน2,592,686.19 บาท และต้นเงิน 2,925,791.35 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในหนี้สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นเงินจำนวน 3,729,822.85 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 2,925,791.35 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า เหตุที่จำเลยที่ 1ไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ทราบวันนัดจากทนายความของจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1แต่งตั้งให้นายนิรันต์ อินทร์เผือก เป็นทนายความแก้ต่างแล้ว ต้องถือว่านายนิรันต์เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการดำเนินกระบวนพิจารณาเมื่อนายนิรันต์ทราบวันนัดของศาลแล้วไม่ไปศาลตามนัด และไม่แจ้งเหตุขัดข้องต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดโดยจงใจ ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว

ส่วนข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า แม้หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ ศาลชั้นต้นจะต้องหมายแจ้งวันนัดสืบพยานจำเลยให้จำเลยที่ 1 ทราบเพื่อที่จะได้สืบพยานจำเลยที่ 1ต่อไป ตามที่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้นั้น ตามปัญหานี้ แม้จำเลยที่ 1จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 ผู้ฎีกายกขึ้นอ้างได้ เห็นว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน ทนายจำเลยที่ 1 ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วมิได้มาศาลทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดีซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว คดีนี้ศาลสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยที่ 1 ก็มิได้มาศาล แม้จำเลยที่ 1 จะได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ก็ต้องถือว่าคดีเสร็จการพิจารณา ศาลพิพากษาไปได้ ที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณามาชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share