คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คพิพาทเพราะถูกข่มขู่ วันรุ่งขึ้นจำเลยได้ไปแจ้งอายัดต่อธนาคารมิให้จ่ายเงินตามเช็ค เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยออกเช็คไปโดยไม่มีเจตนาที่จะให้นำเช็คไป เรียกเก็บเงิน ทั้งการที่จำเลยสั่งธนาคารมิให้จ่ายเงินตามเช็คก็มิใช่เป็นการทุจริต แม้ผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยก็ไม่มีความผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1)(5)เช็คฉบับแรกจำนวนเงิน 40,000 บาท ลงโทษจำคุก 2 เดือนเช็คฉบับที่สอง จำนวนเงิน 36,660 บาท ลงโทษจำคุก 2 เดือนเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวมสองกระทงจำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้เบื้องต้นว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 จ.2 มอบให้นายสมบูรณ์ คีระกิตติสุวรรณนายสมบูรณ์ได้นำไปมอบให้นายเรืองนาจ อภิวัฒนศิริกุลเมื่อเช็คถึงกำหนดนายเรืองนาจ ได้นำไปเข้าบัญชีของนายเรืองนาจเพื่อให้เรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับโดยให้เหตุผลอย่างเดียวกันว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินโดยจำเลยเป็นผู้สั่งไม่ให้ธนาคารจ่ายเงินปัญหาวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าเหตุที่จำเลยออกเช็คให้นายสมบูรณ์ เพราะมีมูลหนี้เดิมที่นายโง้ยคิมบิดาของจำเลยเป็นหนี้นายสมบูรณ์อยู่ก่อน จำเลยจึงยอมสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ให้นายสมบูรณ์ นายสมบูรณ์จึงรับเช็คพิพาทมาโดยมีมูลหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายหาใช่ได้มาจากการข่มขู่ไม่ ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าได้ออกเช็คพิพาทให้นายสมบูรณ์เพราะถูกข่มขู่ จึงควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า นายสมบูรณ์รับเช็คพิพาทมาจากจำเลยโดยมิได้มีการข่มขู่ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ โจทก์มีนายสมบูรณ์เป็นพยานซึ่งได้ตอบทนายจำเลยซักค้านว่า เมื่อต้นปี 2528 ได้ไปทวงหนี้ค่าสินค้าจากจำเลยที่โรงงานของจำเลยได้พบจำเลยและภรรยาของจำเลยกับน้องชายของจำเลยอีกคนหนึ่ง จึงได้บอกจำเลยถึงเรื่องหนี้ที่บิดาจำเลยติดค้างมานานแล้วและจำเลยได้รับสมบัติของบิดามามากก็ต้องเป็นผู้ชำระหนี้แทนบิดา จำเลยจึงยอมสั่งจ่ายเช็คมอบให้นายสมบูรณ์ประมาณ 10-11 ฉบับ รวมทั้งเช็คพิพาททั้งสองฉบับด้วย ต่อมานายสมบูรณ์ได้มอบเช็คที่จำเลยสั่งจ่าย 8-9 ฉบับ ให้แก่นายตี๋ไปเมื่อประมาณปี 2528 ครั้นเช็คถึงกำหนดนายตี๋นำไปเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายตี๋จึงฟ้องจำเลยคดีของนายตี๋อยู่ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนเช็คพิพาททั้งสองฉบับในคดีนี้นายสมบูรณ์ได้นำไปมอบให้นายเรืองนาจเมื่อต้นปี 2529 เป็นการชำระค่าซื้อสินค้าพืชเกษตร ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่า นายสุรเชษฐ์ ดลเฉลิมเกียรติ กับนางวัชรีภรรยาอาศัยโรงงานของจำเลยผลิตน้ำมันไก่ น้ำมันพืชในโรงงานของจำเลยหายเป็นประจำ จำเลยจึงแจ้งให้นายสุรเชษฐ์กับนางวัชรีออกไปจากโรงงาน ทั้งสองคนไม่ยอมออกไป โดยอ้างว่าถ้าจะให้ออกไปก็ให้จำเลยชำระหนี้ที่นายสุรเชษฐ์กับนางวัชรีติดค้างนายสมบูรณ์เกี่ยวกับการค้าน้ำมันแทน จำเลยไม่ยอมต่อมากลางปี 2528 นายชัยรัตน์ ดลเฉลิมเกียรติ ซึ่งได้ยืมเงินนายสมบูรณ์ไปให้นายสุรเชษฐ์ได้มาพบจำเลยที่โรงงานพร้อมกับนายสุรเชษฐ์และนางวัชรีโดยบอกจำเลยว่าถ้าไม่ยอมให้นายสุรเชษฐ์กับนางวัชรีใช้โรงงานเจียวน้ำมันไก่ก็ให้จำเลยใช้หนี้แทน จำเลยไม่ยอม ทั้งสามคนก็ออกไปจากโรงงานประมาณ1 ชั่วโมง ก็เข้ามาพร้อมกับนายสมบูรณ์และนางเตียวมารดาจำเลยนายสุรเชษฐ์กับนายสมบูรณ์และนายชัยรัตน์มีอาการเมาสุราได้พูดบังคับให้จำเลยใช้หนี้แทนนายสุรเชษฐ์กับนางวัชรีอีกจำเลยก็ไม่ยอม นายชัยรัตน์จึงชักปืนออกมาเล็งไปที่จำเลยจำเลยตกใจกลัว จึงยอมเขียนเช็คโดยนายสมบูรณ์และนายชัยรัตน์บอกให้ลงวันที่ในเช็คห่างกันฉบับละ 2 เดือน จำเลยได้เขียนเช็คมอบให้นายสมบูรณ์ไปรวม 6 ฉบับ ซึ่งรวมทั้งเช็คพิพาทนี้ด้วยเมื่อนายสมบูรณ์รับเช็คทั้งหมดไปแล้วก็ออกไปจากโรงงานพร้อมกับพวกดังกล่าวข้างต้น จำเลยกับนางประภาภรรยาจะไปแจ้งความดำเนินคดีแก่นายชัยรัตน์และนายสมบูรณ์ แต่สงสารนางเตียวมารดาซึ่งเป็นโรคหัวใจจึงไม่ไปแจ้งความ รุ่งขึ้นวันที่ 14 มิถุนายน 2528 จำเลยได้ไปแจ้งอายัดเช็คพิพาทโดยสั่งธนาคารไม่ให้จ่ายเงินตามเช็คปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7นอกจากนี้จำเลยเบิกความยืนยันว่าขณะที่ถูกนายชัยรัตน์กับพวกดังกล่าวใช้ปืนข่มขู่นั้น มีนางประภาภรรยาและนางสาวกรรณิกา ตรีเกสรนพมาศ อยู่รู้เห็นด้วยและจำเลยได้นำนางประภา สุจิตดานนท์รัตน์ กับนางสาวกรรณิกา มาเบิกความประกอบสนับสนุนได้ความสอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวข้างต้น
พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่าที่นายสมบูรณ์พยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้เป็นการชำระหนี้แทนบิดาจำเลยนั้นไม่มีหลักฐานมาประกอบสนับสนุนจึงเป็นการเบิกความลอย ๆ ทั้งยังยอมรับว่าได้รับเช็คมาจากจำเลยรวมทั้งหมด 10-11 ฉบับ ตั้งแต่ปี 2528แล้วได้นำไปมอบให้นายตี๋ 8-9 ฉบับ โดยอ้างว่าเป็นการชำระค่าซื้อข้าวโพด นายตี๋ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินไม่ได้จนกระทั่งนายตี๋ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนเช็คพิพาททั้งสองฉบับนี้ นายสมบูรณ์เพิ่งนำมามอบให้นายเรืองนาจเมื่อต้นปี 2529 น่าเชื่อว่านายสมบูรณ์ได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับที่มอบให้นายเรืองนาจไปนั้นธนาคารก็ต้องปฏิเสธการจ่ายเงินด้วยเหตุเดียวกันดังปรากฏตามที่จำเลยเบิกความไว้ว่าหลังจากถูกข่มขู่ให้ออกเช็คไปแล้ววันรุ่งขึ้นได้ไปแจ้งอายัดมิให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็ค จากคำเบิกความของนายสมบูรณ์ประกอบกับข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์แห่งคดีเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานของจำเลยซึ่งนอกจากมีตัวจำเลยเบิกความยืนยันว่าได้ออกเช็คพิพาทให้นายสมบูรณ์ไปเพราะถูกนายชัยรัตน์ใช้ปืนขู่แล้ว จำเลยได้มีนางประภากับนางสาวกรรณิกาซึ่งมาเบิกความได้สอดคล้องต้องกันอันเป็นที่เชื่อได้ว่าที่จำเลยออกเช็คพิพาทให้นายสมบูรณ์นั้นเป็นเพราะถูกข่มขู่ นอกจากนี้จำเลยยังมีหลักฐานยืนยันว่าหลังจากถูกข่มขู่และได้ออกเช็คมอบให้นายสมบูรณ์ไปแล้ววันรุ่งขึ้นจำเลยได้ไปแจ้งอายัดต่อธนาคารมิให้จ่ายเงินตามเช็คดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7 เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยออกเช็คไปโดยไม่มีเจตนาที่จะให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินทั้งการที่จำเลยสั่งธนาคารมิให้จ่ายเงินตามเช็คก็มิใช่เป็นการทุจริต ดังนั้นแม้นายเรืองนาจนำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างเหตุว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่ายจำเลยก็ไม่มีความผิดตามฟ้อง”
พิพากษายืน

Share