คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรับบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย แต่เมื่อโจทก์เรียกและรับเงินจากผู้สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็นลูกจ้างของจำเลยไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอก ทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทนทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทั้งถือได้ว่าเป็นการประพฤติผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์อีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะเลิกจ้าง และให้ชดใช้เงินค่าเสียหายให้โจทก์อัตราเดือนละ 10,750 บาท นับแต่วันที่โจทก์ถูกเลิกจ้างจนกว่าจำเลยจะรับกลับเข้าทำงาน หากเห็นว่าโจทก์กับจำเลยไม่อาจทำงานร่วมกันได้อีกต่อไป โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงินเท่ากับค่าจ้างที่โจทก์ได้รับจากจำเลยจนเกษียณอายุรวมเป็นเงิน3,215,500 บาท นอกจากนี้จำเลยมีระเบียบเกี่ยวกับเงินบำเหน็จที่ต้องจ่ายให้แก่พนักงานลูกจ้างที่ออกจากงานโดยไม่มีความผิดในอัตราเดือนสุดท้ายกับค่าครองชีพคูณด้วยระยะเวลาทำงาน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินจำนวน 107,150 บาท การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์มิได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้า จึงขอคิดสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเวลา 1 เดือน เป็นเงิน 10,715 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด โจทก์จึงขอเรียกเงินค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้าง180 วันสุดท้ายเป็นเงิน 64,290 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์เรียกจากจำเลยทั้งสิ้น 3,396,655 บาท และขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ถูกเลิกจ้างเป็นต้นไป
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เนื่องจากโจทก์ได้ร่วมมือกับพนักงานประจำหน่วยทะเบียนประวัติ และพนักงานแผนกอื่นหลายคนกระทำการโดยทุจริตในการรับบุคคลเข้าเป็นลูกจ้าง หรือพนักงานของจำเลยโดยการเรียกและรับเงินจากผู้อื่นเป็นค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์และนายสุพลกับพวกได้ร่วมกันเรียกและรับเงินจากนายพรชัย ฉิมแป้น กับนายวันชัย ฉิมแป้น เป็นค่าตอบแทนในการช่วยบุคคลทั้งสองเข้าเป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์มีหน้าที่ควบคุมการผลิตโซดาและน้ำดื่มไม่ได้มีหน้าที่ในการรับสมัครบุคคลเข้าเป็นลูกจ้างของบริษัทจำเลยการที่โจทก์เรียกและรับเงินดังกล่าวจึงไม่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่แต่การกระทำของโจทก์ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า การเข้าเป็นลูกจ้างของจำเลยต้องมีการเสียเงินตอบแทน ทำให้ภาพพจน์และชื่อเสียงของจำเลยเสียหายถูกดูหมิ่นเกลียดชังทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในข้อ 10.1.7 ที่กำหนดไว้ว่า พนักงานและลูกจ้างทุกคนจะต้องปฏิบัติงานหรือหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ประพฤติตนอยู่ในความสุจริตต้องไม่กระทำหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการใด ๆ อันเป็นการเสียหายต่อบริษัท การที่โจทก์ไม่มีหน้าที่รับสมัครคนเข้าทำงาน แต่ได้เรียกและรับเงินจากผู้สมัครนั้นเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 10.1.9 เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย อันเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(3) และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรและเป็นธรรม และจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินบำเหน็จ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรับบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยก็ตาม แต่การที่โจทก์เรียกและรับเงินจากนายพรชัยและนายวันชัยผู้สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็นลูกจ้างของจำเลยไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอก ทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทนทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทั้งถือได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยและยังถือได้ว่าเป็นการประพฤติผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ตลอดจนเงินบำเหน็จและดอกเบี้ยแก่โจทก์อีกด้วยทั้งนี้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3)ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัย ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน

Share