คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3720/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาระหว่างสมรส ทรัพย์พิพาทจึงเป็นสินสมรสที่โจทก์และ ข มีสิทธิคนละครึ่งหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ให้ความยินยอมด้วย ข. จึงไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาทเกินกว่าส่วนของตนให้แก่จำเลยทั้งสองได้
เมื่อทรัพย์พิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งเป็นสินสมรสไม่ใช่ทรัพย์มรดกจึงไม่อยู่ในอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 613 ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งเป็นจำนวนเนื้อที่ 85 ตารางวา พร้อมแบ่งสิ่งปลูกสร้างบ้าน 3 หลังให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้เอาทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง (บ้าน 3 หลัง) บนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 613 ตำบลโพนทอง (ตำบลในเมือง) อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางเขียน โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อเดือนเมษายน 2526 ไม่มีบุตรด้วยกัน ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายสุวรรณ โอนขายมาเป็นสิทธิชื่อนางเขียนเมื่อปี 2530 ต่อมามีการปลูกสร้างบ้านบนที่ดินหลายหลัง และปี 2540 นางเขียนได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสองรวมทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทด้วย จำเลยทั้งสองเป็นบุตรนางเขียนกับสามีคนก่อน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางเขียนหรือไม่ โจทก์มีนายสุวรรณเจ้าของที่ดินเดิมมาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่าพยานได้โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และนางเขียนซึ่งเป็นสามีภริยากันเมื่อปี 2530 ตามสารบัญจดทะเบียน เอกสารหมาย จ.3 โดยโจทก์ให้ใส่ชื่อนางเขียนเป็นผู้รับโอน ส่วนจำเลยทั้งสองอ้างตนเองเบิกความว่านางเขียนได้ซื้อที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2524 และปลูกสร้างบ้านบนที่ดินก่อนนางเขียนจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ แต่เพิ่งมาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทางทะเบียนในปี 2530 เห็นว่า โจทก์มีนายสุวรรณเจ้าของที่ดินเดิมเป็นพยานคนกลางมิได้มีผลประโยชน์กับฝ่ายใดมาเบิกความประกอบการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทว่าโอนขายให้แก่โจทก์และนางเขียน เมื่อปี 2530 คำเบิกความของนายสุวรรณมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนจำเลยทั้งสองคงมีแต่คำเบิกความลอยๆ ว่านางเขียนซื้อที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2524 แต่ยังไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้แก่นางเขียนได้เนื่องจากที่ดินติดจำนองอยู่นั้น เห็นว่า หากนางเขียนซื้อที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2524 จริง การที่ที่ดินพิพาทของนายสุวรรณติดจำนองอยู่หาเป็นอุปสรรคในการที่จะโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายกันไม่ เพราะนายสุวรรณย่อมได้เงินจากการขายไปชำระหนี้เพื่อไถ่จำนองได้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักให้น่าเชื่อว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโจทก์และนางเขียนได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรสที่โจทก์และนางเขียนมีสิทธิในทรัพย์พิพาทนั้นคนละครึ่งหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมด้วย นางเขียนจึงไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์ที่พิพาทเกินกว่าส่วนของตนให้แก่จำเลยทั้งสองได้ ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกหรือไม่ เห็นว่าเมื่อทรัพย์พิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งเป็นสินสมรสไม่ใช่ทรัพย์มรดก จึงไม่อยู่ในอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1754 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share