แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะมิได้กล่าวไว้ในคำฟ้องว่าได้ฟ้องจำเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงาน แต่เมื่อเจ้าพนักงานอัยการพิจารณาเห็นว่าจำเลยถูกฟ้องเนื่องจากเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติตามหน้าที่และเห็นสมควรรับแก้ต่างให้แล้ว พนักงานอัยการก็มีอำนาจรับเป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลยและดำเนินกระบวนพิจารณาใด เพราะมาตรา 11(3) แห่งพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2494 ให้อำนาจแก่พนักงานอัยการที่จะใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้บุกรุกบ่อน้ำในนาของโจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยในฐานะผู้ใหญ่บ้าน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายจำเลยย่อมไม่มีสิทธิแต่งตั้งพนักงานอัยการเป็นทนายแก้ต่าง ดังนั้น ที่พนักงานอัยการรับเป็นทนายความแก้ต่างให้เป็นการมิชอบด้วยกฎหมายกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยจึงไม่ชอบนั้น พิเคราะห์แล้วตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11(3) ที่บัญญัติว่า”ในคดีแพ่งหรืออาญาซึ่งเจ้าพนักงานถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ก็ดี ฯลฯ เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการจะรับแก้ต่างก็ได้”นั้น เห็นว่าเป็นบทบัญญัติให้อำนาจแก่พนักงานอัยการที่จะใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรรับแก้ต่างให้แก่เจ้าพนักงานที่ถูกฟ้องในคดีแพ่งหรือคดีอาญา ในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ โดยโจทก์หาจำต้องกล่าวไว้ในฟ้องว่าได้ฟ้องจำเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานดังโจทก์โต้เถียงมาในฎีกาด้วยไม่ เหตุนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามคำแถลงของพนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่นว่า ได้พิจารณาและตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นแล้วจำเลยถูกฟ้องเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่ จึงรับเป็นทนายความแก้ต่างให้นั้น ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น การที่พนักงานอัยการรับเป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลยและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมา หาทำให้กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่
พิพากษายืน