แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก จำเลยแถลงขอเลื่อนคดี และแถลงว่าหากนัดหน้าจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยแถลงว่าไม่มีพยานมาศาล แล้วแต่ศาลจะพิจารณาสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเนื่องจากจำเลยแถลงว่า หากนัดนี้ไม่มีพยานมาสืบให้ถือว่าไม่ติดใจสืบ จึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้งดสืบพยานจำเลย คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบแล้วเพราะศาลชั้นต้นได้สั่งไปตามที่ทนายจำเลยได้แถลงรับรองไว้ในนัดแรกและในนัดนี้ทนายจำเลยก็มิได้แถลงขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุที่จำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ด้วย คำแถลงของจำเลยที่ว่า หากนัดหน้าจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน นั้น มิได้หมายถึงเฉพาะพยานของฝ่ายจำเลยเท่านั้นหากแต่รวมถึงตัวจำเลยซึ่งได้อ้างตัวเองไว้เป็นพยานด้วย เพราะจะเป็นตัวจำเลยหรือพยานของจำเลยก็จะต้องเรียกว่าพยานฝ่ายจำเลยอยู่นั่นเอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงิน 1,464,047.71 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จหากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ได้รับเงินจำนวน 500,000 บาท จากโจทก์ จำเลยนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ไปบางส่วนแล้ว จำเลยมอบที่ดินให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันมิได้ให้โจทก์นำไปทำสัญญาจำนอง และโจทก์คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์แล้ว นัดสืบพยานจำเลย เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่สองทนายจำเลยแถลงว่าไม่มีพยานมาศาล ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,184,766.57 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้กลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่4 เมษายน 2532 จำเลยแถลงขอเลื่อนคดี และแถลงว่าหากนัดหน้าจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน ครั้นถึงวันนัดศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า นัดสืบพยานจำเลยวันนี้โจทก์และทนายจำเลยมาศาล ทนายจำเลยแถลงว่าวันนี้ไม่มีพยานมาศาลแล้วแต่ศาลจะพิจารณาสั่ง ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว เนื่องจากจำเลยแถลงว่าหากนัดนี้ไม่มีพยานมาสืบให้ถือว่าไม่ติดใจสืบ จึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ ให้งดสืบพยานจำเลย ดังนี้ เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้สั่งไปตามที่จำเลยได้เคยแถลงรับรองไว้ในนัดแรก ต่อมาในนัดที่สองตัวจำเลยมิได้มาศาล ทนายจำเลยได้แถลงว่า ไม่มีพยานมาศาลแล้วแต่ศาลจะพิจารณาสั่ง ทนายจำเลยมิได้แถลงขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุที่จำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานจำเลย คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าคำแถลงของจำเลยที่ว่าหากนัดหน้า จำเลยไม่มีพยานมาสืบให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานนั้น น่าจะหมายถึงเฉพาะพยานของฝ่ายจำเลยหาได้รวมถึงตัวจำเลยซึ่งได้อ้างตัวเองไว้เป็นพยานไม่ เห็นว่าไม่มีทางจะแปลไปได้ดังที่จำเลยฎีกาเลย เพราะจะเป็นตัวจำเลยหรือพยานของจำเลยก็จะต้องเรียกว่าพยานฝ่ายจำเลยอยู่นั่นเอง ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน