แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมศาลชั้นต้นได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทในคดีไว้แล้วต่อมาคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงว่า ขอสละประเด็นในชั้นชี้สองสถานทั้งหมด และติดใจขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตามคำแถลงที่ศาลชั้นต้นจดไว้นั้น ดังนี้ หมายความว่า ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นในชั้นชี้สองสถานคู่ความขอสละ หาได้หมายความรวมถึงข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การที่ไม่เป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถือว่าจำเลยยอมรับแล้วตามกฎหมายไม่ ศาลจึงย่อมนำมารับฟังและวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกสำนวน
เมื่อหุ้นพิพาทที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยเป็น หลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129
ในการวินิจฉัยคดีศาลต้องนำกฎหมายมาปรับแก่คดีให้ตรงตามรูปคดีที่พิพาทกัน ไม่จำต้องพิพากษาไปตามคำแถลงของคู่ความหรือตามความประสงค์ของคู่ความ เมื่อฟังว่าเป็นเรื่องพิพาทกันตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นกฎหมายพิเศษก็จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ แม้จะเป็นความประสงค์ของคู่ความหรือคู่ความแถลงขอก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล ได้รับอนุญาตให้ทำกิจการเป็นตัวแทนนายหน้า ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๖มีนาคม ๒๕๒๒ จำเลยแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนหรือนายหน้าทำการซื้อขายหลักทรัพย์ (หุ้น) แทนจำเลย จำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด ๓๐๐ หุ้น ในราคาหุ้นละ ๔๒๒ บาท เป็นเงิน ๑๒๖,๖๐๐ บาท โจทก์ซื้อให้ตามที่จำเลยต้องการและจ่ายเงินทดรองแก่ผู้ขายแทนจำเลยไปแล้ว จำเลยต้องชำระค่าบำเหน็จแก่โจทก์เป็นเงิน ๖๓๓ บาท รวมที่ต้องชำระแก่โจทก์ ๑๒๗,๒๓๓ บาท ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๒๒ จำเลยทำสัญญาเพิ่มเติมในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยถอนตั๋วสัญญาใช้เงินที่วางไว้และซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของโจทก์เลขที่ ๖๖๙๔๔ เงิน ๕๐,๐๐๐ บาท และสลักหลังมอบให้โจทก์ โจทก์ได้ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินกับดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน ๕๒,๘๔๐.๔๘บาท มาหักใช้หนี้ถึงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๒๓ จำเลยยังเป็นหนี้อยู่ ๘๖,๖๔๘.๔๖บาท และโจทก์ ทอดตลาดหุ้นได้เงิน ๕๓,๔๐๐ บาท คิดหักดอกเบี้ยและหนี้ที่ติดค้างอยู่ จำเลยคงค้างชำระขายจำนวน ๓๙,๕๙๙.๘๒ บาท ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ ๓๙,๕๙๙.๘๒ บาท และให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๗.๕ต่อปี จากต้นเงิน ๓๔,๘๖๘.๖๗ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ประกอบธุรกิจตามเงื่อนไขของกระทรวงการคลังตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ และไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการโอนหุ้น ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น โจทก์มิได้ซื้อหุ้นของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด ให้จำเลยสำเร็จตามกฎหมายจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีมูลหนี้ตามฟ้อง และคิดดอกเบี้ยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ได้ขายทอดตลาดหุ้นเพราะไม่มีหุ้นที่ได้ซื้อมาจริงขอให้ยกฟ้อง
สืบพยานโจทก์ได้ ๑ ปาก โจทก์จำเลยแถลงขอสละประเด็นในชั้นชี้สองสถานทั้งหมด และติดใจขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตามที่ทั้งสองฝ่ายแถลงมีข้อความว่า โจทก์ยอมรับว่าไม่ได้นำหุ้นพิพาทโอนใส่ชื่อจำเลยหรือโจทก์ในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยเป็นผู้ถือหุ้น แต่โจทก์ได้นำใบหุ้นประเภทเดียวกันจำนวนเท่ากันไปโอนใส่ชื่อโจทก์ โดยถือว่าเป็นตัวแทนจำเลย ซึ่งไม่ใช่หุ้นพิพาทในคดีนี้ และโจทก์ได้นำเงินปันผลมาจ่ายให้จำเลยแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนอีกครั้งหนึ่งได้นำไปหักหนี้ของจำเลย โจทก์ถือว่าการซื้อขายหุ้นในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
โจทก์ยอมรับว่ามีอำนาจทำการแทนจำเลยโดยเป็นตัวแทนที่จำเลยมอบหมายทางปฏิบัติที่ได้รับมอบหมายนั้น จำเลยจะต้องกำหนดข้อสาระสำคัญคือ จำนวนหุ้นที่ต้องการซื้อ และราคาหุ้นที่ต้องการซื้อ หากโจทก์ซื้อในราคาต่ำกว่าที่จำเลยกำหนด จำเลยก็ยอมรับผิดชอบด้วย การซื้อขายข้างต้นนั้นโจทก์ทำการเป็นตัวแทนของจำเลยโดยชอบแล้ว
โจทก์ยอมรับว่าหุ้นพิพาทเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อ การส่งมอบและรับมอบได้กระทำโดยวิธีการโอนลอย
ทั้งสองฝ่ายขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยถือข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกัน และต่างไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓๙,๕๙๙.๘๒บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงิน ๓๔,๘๖๘.๖๗ บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายความแทนโจทก์ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๖๐๐บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า ที่คู่ความแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๒๕ ไม่มีข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ ศาลจะยกข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยคดีไม่ได้ ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๓ และมาตรา ๑๑๒๙ เพราะโจทก์จำเลยต่างสละประเด็นอื่นหมดแล้ว วินิจฉัยได้เฉพาะข้อที่แถลงรับกันใหม่เท่านั้น ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ ศาลจะนำมารับฟังหรือใช้วินิจฉัยชี้ขาดคดีอีกไม่ได้ เป็นการวินิจฉัยคดีด้วยข้อเท็จจริงนอกสำนวนนั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๒๕ ศาลบันทึกไว้ตอนต้นว่า “ทั้งสองฝ่ายแถลงว่าขอสละประเด็นในชั้นชี้สองสถานทั้งหมดและติดใจขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายดังต่อไปนี้” ซึ่งหมายความว่า ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นในชั้นชี้สองสถานคู่ความขอสละ หาได้หมายความรวมถึงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่ปรากฏในคำฟ้องคำให้การที่ไม่เป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธ ถือว่าจำเลยยอมรับแล้วตามกฎหมายไม่ ศาลย่อมนำมารับฟังและวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอนสำนวน ข้อเท็จจริงตามฟ้องที่ว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้ทำกิจการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้รับอนุญาตจากระทรวงการคลัง จำเลยแต่งตั้งโจทก์ให้เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ (หุ้น) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทนจำเลยและจำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด ๓๐๐ หุ้น ในราคาหุ้นละ ๔๒๒ บาท โจทก์ซื้อให้ตามคำสั่งของจำเลย และออกเงินทดรองค่าหุ้นให้ผู้ขายแทนจำเลยไปแล้วตามแบบสัญญาซื้อขายหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ เอกสารหมายจ.๑๔ ถึง จ.๑๖ เหล่านี้ ศาลรับฟังมาวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ หุ้นพิพาทที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งจำเลยเป็นหลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะ ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๙ ที่จำเลยฎีกาว่า คู่ความสละประเด็นและแถลงรับข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ไม่มีข้อความเกี่ยวกับพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ อยู่เลย จึงนำพระราชบัญญัตินี้มาวินิจฉัยคดีไม่ได้ ศาลฎีกาพิเคราะห์คำแถลงรับของโจทก์จำเลยก็หาได้มีข้อความเกี่ยวกับหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่ไม่แต่จำเลยกลับฎีกาขอให้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีให้จำเลยเช่นกันซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าในการวินิจฉัยคดีต้องนำกฎหมายมาปรับแก่คดีให้ตรงตามรูปคดีที่พิพาทกันไม่ต้องพิพากษาไปตามคำแถลงของคู่ความหรือตามประสงค์ของคู่ความ เมื่อฟังได้ว่าเป็นเรื่องพิพาทกันตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นกฎหมายพิเศษจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ แม้จะเป็นความประสงค์ของคู่ความหรือคู่ความแถลงขอก็ตาม ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ๖๐๐ บาท