คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทจากโจทก์ ต่อมาโจทก์ขายรถพิพาทให้แก่บริษัท ค. โดยให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัท ค. โดยให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัท ค. และโจทก์ทำหนังสือสัญญารับภาระไว้ต่อบริษัท ค. ว่า หากจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามงวด โจทก์จะติดตามเรียกเก็บให้และจะจ่ายเงินแทนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปก่อน หากผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโจทก์ต้องมีหน้าที่ติดตามยึดรถและรับซื้อรถคืนในราคาที่จำเลยค้างชำระ ดังนี้โจทก์จึงมีส่วนได้เสียด้วยในสัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลยกับบริษัท ค. โดยมีความผูกพันเพื่อจำเลยในอันจะต้องใช้หนี้และมีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น เมื่อบริษัท ค. บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและโจทก์ต้องชำระเงินให้บริษัท ค. ไป โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้
สัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลยกับบริษัท ค. ข้อ 8 มีความว่าในกรณีบอกเลิกสัญญาและผู้ให้เช่าซื้อกลับเข้าครองทรัพย์สินจำเลยจะต้องจ่ายค่าซ่อมรถพร้อมทั้งอุปกรณ์และอะไหล่ทั้งปวงเพื่อซ่อมรถให้กลับคืนสู่สภาพดี เช่นนี้ เมื่อโจทก์ซื้อรถคืนและต้องเสียเงินซ่อมรถ โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยค่าซ่อมรถนอกเหนือไปจากค่าเสียหายในการที่จำเลยใช้รถพิพาทในระหว่างผิดสัญญาเช่าซื้ออีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ได้ซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์โดยชำระเงินบางส่วนคงเหลืออีก ๑,๗๓๔,๐๐๐ บาท ต่อมาบริษัทค้าหลักทรัพย์และลงทุน จำกัด ได้ชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทกำหนดชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือนโดยโจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันมีข้อสัญญาว่าหากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ต้องชำระแทน และหากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจนถูกบอกเลิกสัญญา โจทก์จะต้องรับซื้อรถในสภาพที่เป็นอยู่ขณะยึดถือคืน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อยึดรถคืนและให้โจทก์รับซื้อรถรวมเป็นเงิน ๑,๖๙๕,๘๓๖ บาท รถพิพาทหากนำออกขายจะได้ราคา ๑,๐๑๕,๐๙๒ บาท จำเลยที่ ๑ จึงต้องใช้เงินแก่โจทก์ ๖๘๐,๗๔๔ บาท พร้อมทั้งค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๗๖,๕๘๓.๗๐ บาทขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินสองจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยไม่เคยขอให้โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อระหว่างจำเลยกับบริษัทค้าหลักทรัพย์และลงทุน จำกัดหนังสือสัญญารับภาระไม่ใช่สัญญาค้ำประกันและไม่ผูกพันจำเลยการที่โจทก์รับซื้อรถคืนไม่เป็นเหตุให้มีสิทธิรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยเอาแก่จำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง บริษัทดังกล่าวมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเฉพาะค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ๒ งวด เป็นเงิน ๑๐๒,๐๐๐ บาทเพราะบริษัทได้ยึดและเข้าครอบครองรถที่เช่าซื้อแล้ว หากโจทก์มีสิทธิเข้ารับช่วงสิทธิก็จะเรียกร้องจากจำเลยได้ไม่เกินจำนวนเงินดังกล่าว ฯลฯขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๑๕๒,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีส่วนได้เสียด้วยในสัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทค้าหลักทรัพย์และลงทุน จำกัด เพราะหากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาโจทก์ต้องชำระค่าเช่าซื้อแทน หรือหากผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาโจทก์ต้องรับซื้อรถคืน ถือได้ว่าโจทก์มีความผูกพันเพื่อจำเลยที่ ๑ ในอันจะต้องใช้หนี้และมีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น เมื่อโจทก์ชำระเงินให้ผู้ให้เช่าซื้อไปย่อมรับช่วงสิทธิของผู้ให้เช่าซื้อมาไล่เบี้ยเอากับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๙(๓), ๒๒๖ แม้จำเลยจะมิได้รู้เห็นด้วยในการทำหนังสือสัญญารับภาระระหว่างโจทก์กับผู้ให้เช่าซื้อก็ตาม
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยเอาค่าเสียหายและค่าซ่อมรถจากจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นอกจากจำเลยที่ ๑ จะค้างชำระค่าเช่าซื้อแล้ว รถพิพาทยังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยในขณะที่ถูกยึดคืนด้วยซึ่งสัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทค้าหลักทรัพย์และลงทุน จำกัดระบุไว้ในข้อ ๓ ความว่า จำเลยที่ ๑ จะรักษารถพิพาทให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดีโดยออกค่าใช้จ่ายเอง และระบุไว้ในข้อ ๘ ความว่าในกรณีบอกเลิกสัญญาและผู้ให้เช่าซื้อกลับเข้าครองทรัพย์สินจำเลยที่ ๑ จะต้องจ่ายค่าซ่อมรถพร้อมทั้งอุปกรณ์และอะไหล่ทั้งปวงเพื่อซ่อมรถให้กลับคืนสู่สภาพดี แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญานอกจากผู้ให้เช่าซื้อจะมีสิทธิริบบรรดาเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนและกลับเข้าครองทรัพย์สินแล้วผู้ให้เช่าซื้อยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการที่ผู้เช่าซื้อใช้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อในระหว่างผิดสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคสาม และมีสิทธิเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อด้วย โจทก์จึงมีสิทธิไล่เบี้ยเอาค่าเสียหายและค่าซ่อมรถจากจำเลยได้ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share