คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3732/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารจะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะข้อความแห่งเอกสารนั้น เมื่อข้อความในเอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยปลอมไม่มีข้อความเกี่ยวถึงตัวโจทก์ การที่โจทก์ต้องเสียที่ดินไปเป็นเรื่องของการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยผู้นำชี้นำชี้ทับที่ดินของโจทก์ ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการปลอมใบมอบอำนาจ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องไม่มีข้อที่แสดงว่าจำเลยกระทำไป เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นแล้วคำฟ้องดังกล่าวจึงขาดองค์ประกอบความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กับพวกร่วมกันปลอมใบมอบอำนาจอันเป็นเอกสารของทางราชการกรมที่ดิน ให้มีข้อความว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมอบอำนาจจากนายแสวงและนางสวิง เกษรหอม ให้มีอำนาจจัดการยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และอื่น ๆ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อผู้มอบอำนาจว่าเป็นลายมือชื่ออันแท้จริงของนายแสวงและนางสวิง เกษรหอม ซึ่งเป็นความเท็จ การกระทำดังกล่าวอาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ได้นำใบมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปยื่นแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงทำการไต่สวนผู้นำพิสูจน์ที่ดินแล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินของโจทก์และจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒ การใช้เอกสารปลอมทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายได้ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติไม่ตรวจดูลายมือชื่อในใบมอบอำนาจว่าจะเหมือนลายมือชื่อในแบบแจ้งการครอบครองหรือไม่ โดยจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นกำนันทราบดีอยู่แล้วว่าลายมือชื่อในใบมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจที่แท้จริง ส่วนจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเสมียนที่ดินอำเภอรับเรื่องราวการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วได้ออกทำการรังวัดไต่สวนพิสูจน์ที่ดินเป็นเท็จทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อ จึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๗, ๒๖๔, ๒๖๕
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า สำหรับข้อหาฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม เห็นว่าหากจำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอมจริงผู้ที่ได้รับความเสียหายมีอำนาจฟ้องคดีนี้คือนายแสวงและนางสวิงเกษรหอม หาใช่โจทก์ไม่ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เสียที่ดินไปเนื่องจากการปลอมใบมอบอำนาจ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีนั้น เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารจะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะข้อความแห่งเอกสารนั้น แต่ข้อความในเอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสามปลอมไม่มีข้อความเกี่ยวถึงตัวโจทก์เลยการที่โจทก์ต้องเสียที่ดินไปเป็นเรื่องของการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยผู้นำชี้นำชี้ทับที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการปลอมใบมอบอำนาจโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม
สำหรับข้อหาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายไม่มีข้อที่แสดงว่า จำเลยกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต แม้จะถือว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็ต้องมีเจตนาพิเศษคือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่โจทก์มิได้กล่าวมาในคำฟ้อง จึงขาดองค์ประกอบความผิด เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕)
พิพากษายืน

Share