คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3712/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ ผ.จดทะเบียนยกให้พระภิกษุฮ. ระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ เมื่อพระภิกษุ ฮ. ถึงแก่มรณภาพ ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นสมบัติของวัดโจทก์ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุ ฮ. ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1623
พระภิกษุ ฮ. ให้จำเลยปลูกห้องแถวอาศัยอยู่ในดินถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินใช้สิทธินั้นปลูกห้องแถวลงไว้ในที่ดินพิพาท ห้องแถวจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท และยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไป อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่ จำเลยได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า พระภิกษุฮู้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 57 โดยนายผัน นิตยพันธ์ จดทะเบียนให้ ณ ที่ว่าการอำเภอหนองไผ่เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2518 พระภิกษุฮู้ถึงแก่กรรมมรณภาพที่วัดโจทก์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2519 จำเลยเป็นพี่สาวของพระภิกษุฮู้อาศัยอยู่ในห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทดังกล่าว คดีมีประเด็นข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่วัดโจทก์หรือพระภิกษุฮู้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยก่อนมรณภาพ และห้องแถวในที่ดินพิพาทดังกล่าวพระภิกษุฮู้ปลูกสร้างหรือจำเลยรื้อเรือนเก่ามาปลูก

ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่วัดโจทก์เพราะพระภิกษุฮู้ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยนั้น ในข้อนี้ฝ่ายโจทก์นำสืบว่าพระภิกษุฮู้ยังไม่ได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ใด ฝ่ายจำเลยคงมีตัวจำเลย นายไพศาล ปิ่นสุวรรณ และนายบัญชาหรือแบน โตแป้น มาเบิกความว่าพระภิกษุฮู้ยกที่ดินพิพาทให้โดยมาชี้บอกอาณาเขตให้ แต่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่าพระภิกษุฮู้ตาบอดทั้งสองข้าง เมื่อนัยตาของพระภิกษุฮู้บอดทั้งสองข้าง พระภิกษุฮู้จะชี้บอกเขตที่ดินให้จำเลยได้อย่างไร ถ้าหากพระภิกษุฮู้ประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้จำเลยจริง พระภิกษุฮู้ก็น่าจะไปจดทะเบียนให้จำเลย ณ ที่ว่าการอำเภอเช่นเดียวกับที่นายผันจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทแก่พระภิกษุฮู้ อนึ่ง พระอธิการแดง ปัณฑิโต เจ้าอาวาสวัดโจทก์เบิกความว่า หลังจากพระภิกษุฮู้มรณภาพแล้วจำเลยได้มาพูดขออาศัยอยู่ พระอธิการแดงก็อนุญาต นอกจากนั้นที่จำเลยอ้างว่าพระภิกษุฮู้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้ตั้งแต่แรกนั้นจำเลยก็ไม่ได้นำส่งเป็นพยานต่อศาลแต่อย่างใดไม่ ข้อที่จำเลยอ้างว่าพระภิกษุฮู้ยกที่ดินให้ก่อนมรณภาพจึงไม่น่าเชื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุฮู้ ได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ และมิได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย เมื่อพระภิกษุฮู้ถึงแก่มรณภาพ ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นสมบัติของวัดโจทก์ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุฮู้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

ส่วนห้องแถวซึ่งปลูกในดินพิพาทนั้น แม้โจทก์จะนำสืบว่าพระภิกษุฮู้ เป็นผู้ปลูกโดยใช้ไม้จากเรือนเก่าซึ่งซื้อมาจากนายประเสริฐ แต่โจทก์ก็มิได้นำนายประเสริฐมาเบิกความสนับสนุนแต่อย่างใด นายยู้พยานมีตัวจำเลยนายไพศาล นายบัญชาหรือแบนเบิกความว่า ได้ไปรื้อเรือนเก่าของจำเลยมาปลูกเป็นห้องแถว 2 ห้องในที่ดินพิพาท เมื่อฝนตกน้ำท่วมจะจ้างนายยู้มาถมดิน ตลอดจนทำรั้วล้อม ประกอบกับจำเลยเบิกความรับว่า พระภิกษุฮู้ให้จำเลยปลูกบ้านอยู่เพื่อทำข้าวปิ่นโตส่ง ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าพระภิกษุฮู้ให้จำเลยปลูกห้องแถวอาศัยอยู่ในที่ดินของพระภิกษุฮู้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของพระภิกษุฮู้ใช้สิทธินั้นปลูกห้องแถวลงไว้ในที่ดินพิพาทห้องแถวดังกล่าวจึงไม่เป็นส่วนควบของที่พิพาท และยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ ของจำเลยอยู่ อนึ่ง คดีนี้โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไป อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ส่วนค่าเสียหายนั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์ประสงค์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยในอัตราค่าเช่าบ้านหรือห้องแถว แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบ้านหรือห้องแถวนั้นเป็นของจำเลยจึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายได้โดยคิดเทียบเป็นค่าเช่าที่ดินในอัตราตารางวาละ 1 บาท เป็นเงินต่อเดือน ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เล่ม 2 หน้า 142 เลขที่ 57 หมู่ 7 ตำบลซับสมอทอด อำเภอบึงสามพัน (อำเภอหนองไผ่) จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นของโจทก์ส่วนบ้านหรือห้องแถว 2 ห้องเป็นของจำเลย ให้จำเลยรื้อบ้านหรือห้องแถว สิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ออกจากที่ดินโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 36 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”

Share