คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้ศาลที่พิจารณาคดีอาญาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนแพ่ง เพราะหลักการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักคำพยานในคดีแพ่งและคดีอาญาไม่เหมือนกัน ในคดีแพ่งศาลจะชั่งน้ำหนักคำพยานว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่ากัน แต่ในคดีอาญาศาลจะต้องใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงจนกว่าจะแน่ใจว่าพยานโจทก์พอรับฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแพ่ง แม้จะผูกพันโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีแพ่งนั้น ก็เป็นการผูกพันเฉพาะในทางแพ่งเท่านั้น และเป็นเพียงพยานหลักฐานที่ศาลจะนำมาชั่งน้ำหนักประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ในคดีอาญาว่า ข้อเท็จจริงมีน้ำหนักพอรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงหรือไม่เท่านั้น แต่จะรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเพียงอย่างเดียวมาวินิจฉัยชี้ขาดคดีอาญา โดยมิได้สืบพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความเสียก่อน ย่อมเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันปลอมพินัยกรรมหนึ่งฉบับ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ใช้พินัยกรรมปลอมดังกล่าว โดยนำไปแสดงต่อศาลแพ่งเพื่อเป็นพยานหลักฐานในคดีฟ้องถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยที่ ๑ ได้เบิกความเป็นพยานต่อศาลในคดีดังกล่าวว่านางพูลสุขได้ทำพินัยกรรมไว้ และจำเลยที่ ๒ ได้เบิกความในคดีเดียวกันว่าเป็นผู้พานางพูลสุขไปทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ซึ่งเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ความจริงนางพูลสุขมิได้ทำพินัยกรรมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๐, ๑๖๑, ๑๖๒, ๑๗๗, ๑๘๐, ๒๖๔, ๒๖๖, ๒๖๘, ๘๓, ๙๐ และ ๙๑
โจทก์ได้ถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลประทับฟ้องเฉพาะข้อหาความผิดฐานใช้เอกสารพินัยกรรมปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าพินัยกรรมพิพาทโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นพินัยกรรมที่นางพูลสุขทำไว้และมีผลสมบูรณ์บังคับได้ตามกฎหมาย มิใช่พินัยกรรมปลอม คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วย ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสองนำเอกสารดังกล่าวไปใช้จึงมิใช่ใช้เอกสารปลอม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๔๒๖/๒๕๑๘ และคดีหมายเลขแดงที่ ๑๑๗/๒๕๑๐ จะผูกพันโจทก์จำเลยคดีนี้ ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีแพ่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ ก็ดี ก็เป็นการผูกพันเฉพาะในทางแพ่งเท่านั้น แต่คดีนี้เป็นคดีอาญา ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายฉบับใดให้ศาลที่พิจารณาคดีอาญาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ทั้งนี้เพราะหลักการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักคำพยานในคดีแพ่งและคดีอาญาไม่เหมือนกัน กล่าวคือในคดีแพ่ง ศาลจะชั่งน้ำหนักคำพยานว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่ากัน แต่ในคดีอาญาศาลจะต้องใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงจนแน่ใจว่าพยานโจทก์พอรับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ ฉะนั้น คำพิพากษาฎีกาในคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๔๒๖/๒๕๑๘ และคดีหมายเลขแดงที่ ๑๑๗/๒๕๑๐ จึงเป็นเพียงพยานหลักฐานที่ศาลจะนำมาชั่งน้ำหนักประกอบกับคำพยานหลักฐานของโจทก์ในคดีนี้ว่า ข้อเท็จจริงมีน้ำหนักพอรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงหรือไม่เท่านั้น ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งดังกล่าวเพียงอย่างเดียวมาวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้โดยมิได้สืบพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความเสียก่อนจึงเป็นการไม่ชอบ
พิพากษายืน

Share