แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ได้ โจทก์ฟ้องโต้แย้งการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลกากรที่อ้างว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าโจทก์ได้สำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรและกักยึดสินค้าไว้ โดยโจทก์เห็นว่าจำเลยกักยึดสินค้าของโจทก์ไม่ได้ เพราะโจทก์เสียภาษีอากรถูกต้องแล้ว จึงเป็นการโต้แย้งในปัญหาอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 ว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ตามนัยมาตรา 7(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาศาลภาษีอากร พ.ศ. 2528 และการกักยึดทรัพย์สินของบุคคล หากเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมกระทบถึงสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลซึ่งเป็นสิทธิในทางแพ่งศาลภาษีอากรกลางจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ การที่พนักงานศุลกากรของจำเลยกักยึดสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าไว้เพื่อดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในข้อหาสำแดงเท็จ หลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมนั้น เป็นการกักยึดสินค้าไว้โดยมีเหตุอันควรสงสัยที่พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 24 และ 25 ให้อำนาจไว้ และสินค้าพิพาทที่ถูกกักยึดนี้ก็เป็นของใด ๆ อันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 27อันอาจถูกศาลสั่งริบได้ตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9)พ.ศ. 2482 มาตรา 17 ด้วย อีกทั้งพนักงานศุลกากรของจำเลยมีอำนาจกักยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคสาม ดังนั้นการกักยึดสินค้าพิพาทจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจขอคืนสินค้าพิพาทในชั้นนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า จำเลยสั่งปรับและกักยึดสินค้าของโจทก์ไว้ไม่ชอบให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวกับให้จำเลยปล่อยส่งมอบสินค้านั้นให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2527เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของจำเลยสืบทราบว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าโดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เมื่อวันที่ 21พฤษภาคม 2527 สำแดงชนิดของว่าซี่ลวดรถจักรยานและไม่มีเครื่องหมายการค้านั้น ความจริงแล้วสินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นซี่ลวดและหัวซี่ลวดที่ใช้กับรถจักรยานยนต์ และเป็นสินค้ามีเครื่องหมายการค้ามีราคาสูงกว่าราคาตามที่โจทก์สำแดงเท็จไว้ สินค้าดังกล่าวกำลังถูกส่งไปยังบริษัทไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด เจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงตามไปจับกุมและยึดรถบรรทุกพร้อมสินค้าดังกล่าวมาดำเนินคดี และในการสอบสวนก็ได้ความดังกล่าว โจทก์ทราบดีว่าสินค้าของโจทก์เป็นซี่ลวดรถจักรยานยนต์และมีเครื่องหมายการค้าดังนั้น ในการตรวจปล่อยสินค้ารายนี้โจทก์จึงได้ลบคำว่าไม่มีเครื่องหมายการค้า ที่ปรากฏในใบขนสินค้าออก แล้ววาดเครื่องหมายการค้าให้ตรงกับเครื่องหมายการค้าของสินค้าที่โจทก์นำเข้า พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจปล่อยสินค้าของจำเลยหลงเชื่อ จึงปล่อยสินค้าให้โจทก์ไป ต่อมาได้มีการตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ที่ได้จากโจทก์และบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้อง พบว่าโจทก์เคยนำเข้าซี่ลวดรถจักรยานยนต์ถึง 40 กว่าครั้ง และสำแดงเท็จเป็นซี่ลวดรถจักรยาน สำแดงสินค้าราคาต่ำและเสียภาษีอากรต่ำกว่าความเป็นจริงตลอดมาสินค้าคดีนี้เป็นซี่ลวดใช้กับรถจักรยานยนต์ซูซูกิ เจ้าพนักงานจึงได้ประเมินราคาใหม่เป็นสินค้าซี่ลวดรถจักรยานยนต์ซูซูกิให้โจทก์เสียภาษีอากรตามที่ได้ประเมินเพิ่มไว้ โจทก์ได้เสียภาษีอากรตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งไปแล้ว จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยเห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานทำและยื่นใบขนสินค้าทำคำสำแดงยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันเป็นความเท็จ หลีกเลี่ยง พยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม อันเป็นความผิดตามมาตรา 99 และ 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 และมาตรา 264, 265 และ 268 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ในชั้นแรกจำเลยเห็นว่ากรณีที่เป็นความผิดตามมาตรา 99 และ 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 นั้นสมควรให้โจทก์ทำความตกลงระงับคดี โดยให้ปรับ 4 เท่า ของอากรขาดพร้อมทั้งเบี้ยปรับภาษีการค้า 1 เท่าของภาษีการค้าที่ขาดและให้ชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนตามจำนวนที่ขาด แต่โจทก์ขอเพียงชำระอากรที่ขาดและขออุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน จึงมิได้ตกลงระงับคดี ต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือถึงจำเลย ขอทำความตกลงระงับคดีและขอลดค่าปรับและไม่โต้แย้ง โดยขอเพิกถอนหนังสือของโจทก์ที่อุทธรณ์การตีราคาสินค้าเพิ่มเสีย รวมทั้งเพิกถอนหนังสือฉบับอื่น ๆ ที่มีข้อความโต้แย้งทั้งหมด และโจทก์ได้มีหนังสือขอให้จำเลยระงับการดำเนินคดีอาญากับชิปปิ้งผู้ทำพิธีการศุลกากรออกของโจทก์รายนี้ แต่โจทก์มิได้ชำระค่าปรับ จำเลยจึงส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรสอบสวนดำเนินคดี ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ยึดสินค้าของโจทก์ไว้ เนื่องจากเป็นที่ชัดแจ้งว่าโจทก์ได้กระทำความผิดอาญาดังกล่าว ซึ่งสินค้าที่เนื่องด้วยความผิดตามกฎหมายศุลกากร จะต้องริบ จึงต้องยึดสินค้านั้นไว้เป็นของกลางในการดำเนินคดีอาญา เพื่อรอให้ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจะให้จัดการเกี่ยวกับของกลางรายนี้ต่อไปอย่างไร โจทก์จะขอให้ปล่อยสินค้าในระหว่างนี้ไม่ได้ จำเลยมิได้ปรับโจทก์ แต่ได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ยึดสินค้าพิพาทของโจทก์โดยให้ส่งมอบให้โจทก์รับไป ส่วนคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ว่า จำเลยเพิ่งยกปัญหาเรื่องนี้ขึ้นว่ากล่าวในอุทธรณ์โดยมิได้ยกขึ้นต่อสู้มาแต่แรก จึงไม่อาจอุทธรณ์ได้ นั้นเห็นว่า แม้จำเลยเพิ่งยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ แต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้ ตามคำฟ้องกล่าวอ้างว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าโจทก์ได้ยื่นสำแดงราคาสินค้าและเสียภาษีอากรโดยถูกต้อง จนพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจปล่อยสินค้าออกจากอารักขาของจำเลยแล้วพนักงานศุลกากรของจำเลยตามไปยึดสินค้าของโจทก์อ้างว่าโจทก์เสียภาษีอากรไม่ถูกต้อง แล้วจำเลยได้กักยึดสินค้าของโจทก์ไว้ดำเนินคดีอาญาในข้อหาสำแดงเท็จหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรตามพระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และ 99 เมื่อโจทก์ได้เสียภาษีอากรโดยถูกต้อง จำเลยจึงไม่มีอำนาจกักยึดสินค้าไว้ ต้องคืนให้โจทก์นั้น เห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องโต้แย้งการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลกากรที่อ้างว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้า โจทก์ได้สำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรและยึดสินค้าไว้ โดยโจทก์เห็นว่าจำเลยกักยึดสินค้าของโจทก์ไม่ได้ เพราะโจทก์ได้เสียภาษีอากรถูกต้องแล้ว จึงเป็นการโต้แย้งในปัญหาอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่ฟ้องของโจทก์จึงเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ. 2469 ตามนัยมาตรา 7(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่าจำเลยยึดสินค้าพิพาทไว้ดำเนินคดีอาญาโจทก์ต้องร้องขอคืนของกลางในคดีส่วนอาญา ไม่อาจฟ้องที่ศาลภาษีอากรกลางซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีส่วนแพ่งนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า การกักยึดทรัพย์สินของบุคคลอื่น หากเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ย่อมกระทบถึงสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่นซึ่งเป็นสิทธิในทางแพ่งด้วย ฟ้องของโจทก์เป็นการอ้างสิทธิในทางแพ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลภาษีอากรกลาง
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยมีอำนาจกักยึดสินค้าพิพาทหรือไม่ เห็นว่าการที่พนักงานเจ้าหน้าที่กองป้องกันและปราบปรามอันเป็นเจ้าพนักงานศุลกากรตามไปยึดสินค้าพิพาทจากโจทก์เพราะสืบทราบว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าโดยสำแดงว่าเป็นซี่ลวดและหัวซี่ลวดของรถจักรยานนั้น ความจริงเป็นซี่ลวดและหัวซี่ลวดของรถจักรยานยนต์ซึ่งมีราคาสูงกว่าที่โจทก์สำแดงไว้ เมื่อนำสินค้าพิพาทไปตรวจสอบแล้วพนักงานของจำเลยเห็นว่าเป็นซี่ลวดและหัวซี่ลวดของรถจักรยานยนต์ทั้งเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้า มิใช่ไม่มีเครื่องหมายการค้าดังที่โจทก์สำแดงไว้ จากการตรวจสอบยังปรากฏว่าใบขนสินค้าขาเข้าที่โจทก์นำไปสำแดงเพื่อเสียภาษีอากรโดยระบุว่าเป็นสินค้าที่ไม่มีเครื่องหมายการค้านั้น หลังจากที่โจทก์ได้เสียภาษีอากรตามที่สำแดงไว้แล้ว โจทก์ได้นำใบขนสินค้าดังกล่าวไปเพื่อขอรับการตรวจปล่อยสินค้า ก็ได้ปรากฏว่ามีการแก้ไขใบขนสินค้าดังกล่าวให้มีเครื่องหมายการค้าตรงกับสินค้าพิพาท อันเป็นการปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอมจำเลยจึงกักยึดสินค้าพิพาทไว้เพื่อดำเนินคดีอาญากับโจทก์ในข้อหาสำแดงเท็จ และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม จะเห็นได้ว่าการตรวจยึดสินค้าพิพาทของพนักงานศุลกากรโดยมีเหตุอันควรสงสัยดังกล่าว เป็นการกักยึดที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24, 25 ให้อำนาจไว้เพื่อดำเนินคดีอาญากับโจทก์ ซึ่งสินค้าพิพาทที่ถูกกักยึดนี้เป็นของใด ๆ อันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 27 ดังกล่าว อันอาจถูกศาลสั่งริบได้ตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482มาตรา 17 และจำเลยมีอำนาจกักยึดไว้ได้จนกว่าคดีอาญาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคสาม เมื่อการกักยึดสินค้าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่อาจขอคืนในชั้นนี้ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ได้เสียภาษีอากรโดยถูกต้องจำเลยต้องปล่อยสินค้าให้โจทก์รับไป เป็นการวินิจฉัยก้าวล่วงถึงอำนาจของพนักงานศุลกากรในการดำเนินคดีส่วนอาญาอันเป็นคนละขั้นตอนของกฎหมาย เป็นการไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอให้จำเลยมอบสินค้าพิพาทให้โจทก์ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง