แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์นำรถยนต์มาจดทะเบียนประกอบการขนส่งและเสียภาษีตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 รถยนต์ของโจทก์จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์คงต้องเสียภาษีรถยนต์ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522ต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวส่วนคำว่ารถที่จดทะเบียนใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา86 วรรคสองนั้นหมายถึงรถยนต์ที่นำมาจดทะเบียนใหม่กับกรมการขนส่งทางบกเป็นครั้งแรกมิได้หมายความต้องเป็นรถยนต์ใหม่ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนมาก่อนและตามมาตรา 167 วรรคแรกที่บัญญัติว่ารถที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไว้แล้วก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังไม่ถึงกำหนดเสียภาษีครั้งถัดไป ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีไว้นั้นมีความหมายเพียงว่ารถยนต์ที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไว้แล้วและยังไม่ครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีไว้ ระหว่างนั้นเจ้าของรถได้นำรถไปจดทะเบียนประกอบการขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 ก็ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกเท่านั้น ไม่มีข้อความให้อำนาจกรมการขนส่งทางบกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังหรือที่ค้างชำระตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ได้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนเมษายน 2525 โจทก์ได้ซื้อรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลมาคันหนึ่ง ซึ่งทะเบียนรถดังกล่าวอยู่ในความควบคุมของกองทะเบียนกรมตำรวจ หลังจากที่โอนมาแล้วโจทก์ได้นำไปโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนและเสียภาษีให้ถูกต้องที่กรมการขนส่งทางบก จำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก จำเลยที่ 2 ให้โจทก์เสียภาษีรวมเป็นเงิน 9,768 บาท โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องและเป็นธรรมจึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างสั่งการโดยแจ้งให้โจทก์ทราบว่า การเก็บภาษีของจำเลยที่ 2 ถูกต้องแล้วเพราะโจทก์มีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องนำรถยนต์มาจดทะเบียนชำระภาษีตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับ แต่ละเลยไม่ชำระภาษีมาแต่ต้น โจทก์เกรงว่าหากไม่ชำระภาษีก็ไม่สามารถนำรถยนต์ออกใช้งานได้และอาจถูกจำเลยที่ 2 เรียกเก็บภาษีเป็นค่าปรับอีกจึงได้นำเงิน 9,768 บาท ไปชำระให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์เห็นว่าแม้จะมีพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกประกาศใช้บังคับแล้ว แต่ขณะนั้นโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์และไม่ได้นำออกใช้งาน ผู้เสียภาษีจะเสียภาษีต่อเมื่อได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งเสียก่อน โจทก์เพิ่งได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบการขนส่งเมื่อเดือนเมษายน 2525จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ได้เป็นเงิน 1,800 บาท จำเลยที่ 2 จะต้องคืนภาษีให้แก่โจทก์ 8,168 บาท โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตามขอรับเงินคืนจากจำเลยเป็นเงิน 10,000 บาท จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน 18,748 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ขอบังคับให้ชำระ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ลูกจ้างนายจ้างกันแต่อย่างใด จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดในฐานะนายจ้างลูกจ้าง โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4,169 และตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2523 มาตรา 3, 9 ได้เสียภาษีครั้งสุดท้ายสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2522 และไม่ปรากฏว่าหยุดใช้งานหรือืแจ้งซ่อมรถ และยังไม่เคยผ่านการตรวจสภาพรถมาก่อน จำเลยจึงต้องจัดชั่งน้ำหนักใหม่เพื่อคำนวณภาษีตามกฎหมาย และเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่งวดต่อจากวันที่ 31 ธันวาคม 2522ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งเสียก่อนจึงจะจดทะเบียนชำระภาษีได้ โจทก์มีหน้าที่เสียภาษีย้อนหลังไปโดยเริ่มนับแต่วันเสียภาษีครั้งสุดท้าย จำเลยจึงเรียกเก็บภาษีถูกต้องแล้ว หาใช่กลั่นแกล้งโจทก์ไม่ ค่าใช้จ่ายสูงไปและเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินให้โจทก์จำนวน 7,932 บาทพร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธณณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินให้โจทก์จำนวน6,768 บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 2 เรียกเก็บภาษีรถยนต์ของโจทก์ถูกต้องหรือไม่โดยเห็นว่า นอกจากพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 71 วรรคสอง จะบัญญัติว่า รถที่ใช้ในการขนส่งที่เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์แล้ว ตามมาตรา 86 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ยังบัญญัติว่ารถที่จะทะเบียนใหม่ในงวดใด ให้ชำระภาษีตั้งแต่งวดนั้นเป็นต้นไป โจทก์นำรถมาจดทะเบียนประกอบการขนส่งและเสียภาษีตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 รถของโจทก์จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ คงต้องเสียภาษีรถยนต์ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ต่อไปเท่านั้น ที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่า รถที่จดทะเบียนใหม่ตามมาตรา 86 วรรคสอง หมายถึงรถใหม่ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนมาก่อน รถของโจทก์เป็นรถเก่าและเคยจดทะเบียนต่อกองทะเบียน กรมตำรวจมาแล้ว ต้องเสียภาษีตามมาตรา 167 และจำเลยที่ 2 เรียกเก็บภาษีถูกต้องแล้วนั้น เห็นว่าคำว่ารถที่จดทะเบียนใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 86 วรรคสองนั้นหมายถึงรถที่นำมาจดทะเบียนใหม่กับจำเลยที่ 2 หรือจดทะเบียนกับจำเลยที่ 2 เป็นครั้งแรกเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นรถใหม่ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนมาก่อนแต่อย่างใด ทั้งได้พิเคราะห์มาตรา 167 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 ที่จำเลยที่ 2 อ้างแล้วก็เพียงแต่บัญญัติว่า รถที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไว้แล้วก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังไม่ถึงกำหนดเสียภาษีครั้งถัดไป ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีไว้บทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายแต่เพียงว่ารถที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไว้แล้วและยังไม่ครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีไว้ ระหว่างนั้นเจ้าของรถได้นำรถไปจดทะเบียนประกอบการขนส่งตามพระราชขบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ก็ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์เท่านั้น ไม่มีข้อความให้อำนาจจำเลยที่ 2เรียกเก็บภาษีย้อนหลังหรือที่ค้างชำระตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ได้เลย ที่จำเลยที่ 2เรียกเก็บภาษีรถยนต์ของโจทก์ที่ค้างชำระตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ก่อนที่โจทก์จะนำรถมาจดทะเบียนกับจำเลยที่ 2 จึงไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 2 ต้องคืนเงินค่าภาษีที่เรียกเก็บเกินมาดังกล่าวให้โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 คืนเงินค่าภาษีจำนวน 7,368 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย