แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุจำเลยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประสาทขณะเกิดเหตุอาการป่วยเป็นโรคจิตจากพิษสุรากำเริบขึ้นอีกมีอาการประสาทหลอนหวาดระแวงกลัวคนจะทำร้าย ผู้ตายซึ่งเป็นภริยาอยู่กินกันมาด้วยความเรียบร้อยไม่เคยมีเหตุทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน จึงพาจำเลยไปรักษาที่บ้านบิดาจำเลย ขณะนั่งคุยกันอยู่ที่แคร่ไม้ข้างล่าง จำเลยใช้มีดเชือดคอและฟันทำร้ายผู้ตายมีคนพบจำเลยนั่งงุนงงอยู่ใกล้ ๆ ดังนี้ จำเลยได้กระทำผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ ไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะโรคจิตจากพิษสุราจำเลยไม่ต้องรับโทษในความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ตามมาตรา 65 วรรคแรก
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 65 วรรคสอง จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยกับนางหนูขินหรือขิน อาวรเจริญ ผู้ตายเป็นสามีภริยาที่แต่งงานอยู่กินด้วยกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 มีบุตรสองคน คนหนึ่งเป็นชายอายุ 12 ปี อีกคนหนึ่งเป็นหญิงอายุ 9 ปี จำเลยป่วยเป็นโรคจิตจากพิษสุรามีอาการหวาดกลัวและประสาทหลอนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2521 วันเวลาเกิดเหตุ ขณะที่นางหนูขินหรือขินผู้ตายนอนอยู่ที่แคร่ไม้หน้าบ้านถูกจำเลยใช้มีดเชือดคอและฟันทำร้ายร่างกายหลายแห่งจนเป็นเหตุให้นางหนูขินหรือขินถึงแก่ความตาย โดยบาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้องคดีมีปัญหาว่าขณะที่จำเลยใช้มีดเชือดคอและฟันทำร้ายผู้ตาย จำเลยรู้ผิดชอบและสามารถบังคับตนเองได้หรือไม่” ฯลฯ
“ปัญหาที่ว่า ขณะที่จำเลยใช้มีดเชือดคอและฟันทำร้ายผู้ตายจำเลยรู้ผิดชอบและสามารถบังคับตนเองได้หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะเกิดเหตุจำเลยป่วยเป็นโรคจิตจากพิษสุรามีอาการประสาทหลอน หวาดระแวงกลัวคนจะทำร้าย และหลังเกิดเหตุ 3 วันญาติจำเลยได้นำจำเลยส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลพัทลุง จำเลยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลดังกล่าวเป็นเวลาประมาณ 10 วัน อาการดีขึ้นทางโรงพยาบาลพัทลุงได้ส่งตัวจำเลยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลประสาทสงขลา การที่จำเลยรับการรักษาที่โรงพยาบาลพัทลุง ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย ป.ล.1 และ ป.ล.2 นายแพทย์สหัส อรุณเวชผู้อำนวยการโรงพยาบาลพัทลุง พยานจำเลยเบิกความว่าจำเลยมีอาการประสาทหลอนเนื่องจากพิษสุรา ในระยะแรกต้องใช้คนคุมจำเลยถึงสองคนเป็นเวลาหลายวัน บางครั้งจำเลยจำคนที่คุมจำเลยไม่ได้ จำเลยเห็นภาพหลอกหลอนมีอาการเป็นที่น่ากลัว จำเลยจะวิ่งหนีเพราะมองเห็นภาพเป็นคนจะมาทำร้ายบ้าง เห็นภาพเป็นงูบ้าง นายแพทย์วิวัฒน์ ยถาภูธานนท์ พยานโจทก์ผู้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์หัวหน้าฝ่ายจิตเวชทั่วไปของโรงพยาบาลประสาทสงขลาและตรวจรับตัวจำเลยไว้รักษาในโรงพยาบาลเบิกความว่า อาการป่วยของจำเลยรุนแรง โดยจำเลยมีความหวาดกลัว หวาดระแวงนอนไม่หลับและประสาทหลอน และตามประวัติคนไข้ปรากฏว่าจำเลยเคยมารับการรักษาที่โรงพยาบาลประสาทสงขลา ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่3 กรกฎาคม 2521 แพทย์วินิจฉัยว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิตจากพิษสุรา โดยจำเลยมีอาการหวาดกลัว และประสาทหลอน กลัวคนจะทำร้ายหูแว่วได้ยินคนพูดด่า ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว โมโหและหงุดหงิดง่าย บางครั้งกลัวจนวิ่งหนีไม่รู้สึกตัวและนอนไม่หลับดังปรากฏรายละเอียดตามบันทึกเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งนายแพทย์วิวัฒน์เบิกความยืนยันว่า จากบันทึกประวัติคนไข้ดังกล่าวและเท่าที่ได้ตรวจรักษาจำเลยพบว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิตจากพิษสุรามีอาการหวาดกลัว ประสาทหลอนและควบคุมตนเองไม่ได้นางรัก ทิพย์วาศรี พยานโจทก์มารดาผู้ตายเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุอาการป่วยของจำเลยกำเริบโดยจำเลยแสดงความหวาดกลัวตลอดเวลาผู้ตายจึงพาจำเลยไปรักษาที่บ้านบิดาจำเลย จำเลยกับผู้ตายอยู่กินเป็นสามีภริยากันมาด้วยความเรียบร้อย ไม่เคยมีเหตุทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน และนางรักเชื่อว่าที่จำเลยฆ่าผู้ตายมิใช่ด้วยเหตุจำเลยโกรธหรือเกลียดผู้ตาย แต่เป็นเพราะอาการป่วยของจำเลยกำเริบ และได้ความตามคำเบิกความของนางเพียง อาวรเจริญ พยานโจทก์น้องสาวจำเลยซึ่งเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใกล้ชิดว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยกับผู้ตายนั่งคุยกันอยู่ที่แคร่ไม้ข้างล่างหลังจากนั้นประมาณ 5 นาทีก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของผู้ตายนางเพียงวิ่งจากบนบ้านลงมาดูเห็นผู้ตายถูกเชือดคอนอนอยู่โดยจำเลยนั่งงุนงงอยู่ใกล้ ๆ นางเพียงไม่กล้าเข้าไปเพราะจำเลยถือมีดหันมาทางตนนางเพียงเรียกชื่อจำเลย แต่จำเลยไม่รู้เรื่องเพราะไม่หันมาดูหรือขานตอบนางเพียงจึงร้องเรียกนายชอบพี่ชายและชาวบ้านให้ช่วยกันจับจำเลยมัดไว้นายชอบ อาวรเจริญ พยานจำเลยก็เบิกความรับรองในข้อนี้ ตามภาพถ่ายประกอบการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและการชันสูตรพลิกศพของพนักงานสอบสวนหมาย จ.4 ภาพล่างก็มีภาพของนายชอบปรากฏอยู่ด้วย แสดงว่าขณะนั้นนายชอบก็อยู่ในที่เกิดเหตุ คำเบิกความของนายชอบจึงมีน้ำหนักเชื่อได้ว่า นายชอบและชาวบ้านช่วยกันจับจำเลยมัดล่ามโซ่ไว้ที่กระท่อมร้างภายหลังเกิดเหตุเพื่อนำจำเลยส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล หาใช่ว่าจำเลยได้หลบหนีไปภายหลังเกิดเหตุดังปรากฏตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.1 แต่อย่างใดไม่ ที่นางเพียงชี้เส้นทางที่จำเลยหลบหนีต่อพนักงานสอบสวนตามแผนที่สังเขปดังกล่าวก็เพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้พนักงานสอบสวนจับกุมจำเลยในขณะนั้น เพราะต้องการที่จะส่งตัวจำเลยไปให้แพทย์ทำการตรวจรักษาก่อน ซึ่งพนักงานสอบสวนก็คงจะได้ทราบและตระหนักเกี่ยวกับตัวจำเลยเป็นอย่างดีจึงมิได้ทำการติดตามจับกุมจำเลยโดยร้อยตำรวจโทงามศักดิ์ เกื้อจรูญ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า หลังเกิดเหตุ 2-3 วันก็ทราบว่าน้องชายจำเลยและบิดาจำเลยพาจำเลยไปรักษาอาการทางประสาทที่โรงพยาบาลพัทลุงและต่อมาโรงพยาบาลพัทลุงได้ส่งตัวจำเลยไปรักษาที่โรงพยาบาลประสาทสงขลา จนกระทั่งจำเลยกลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านและอาการดีขึ้นแล้ว นางเพียงจึงมาติดต่อให้พนักงานสอบสวนไปทำการจับกุมจำเลยตามรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตายปรากฏว่า นอกจากบาดแผลถูกเชือดที่คอลึกตัดคอหอยและหลอดลมกับบาดแผลถูกมีดที่ง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ข้างซ้ายและที่ฝ่ามือข้างขวาแล้ว ยังมีบาดแผลถูกฟันหรือเฉือนตามร่างกายอีกสองแห่งคือที่ต้นแขนซ้ายและที่หน้าอกด้านขวาแสดงว่าแม้ได้ยินเสียงหวีดร้องของผู้ตาย จำเลยก็ยังใช้มีดเชือดคอและฟันทำร้ายผู้ตาย พฤติการณ์ตามที่กล่าวมานี้ศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยได้กระทำความผิดโดยฆ่าผู้ตายในขณะที่จำเลยไม่สามารถรู้ผิดชอบและไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะโรคจิตจากพิษสุราโดยมีอาการประสาทหลอน จิตบกพร่องหรือฟั่นเฟือนจำเลยจึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน