คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3706/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินโจทก์และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไปขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3จำเลยรับว่าได้ปลูกสร้างบ้านในที่พิพาทเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค3และศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทดังกล่าวออกจากที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครองได้แต่ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296เบญจกำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้นและในการรื้อถอนให้ปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนไว้ณบริเวณนั้นไม่น้อยกว่าเจ็ดวันดังนั้นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบบ้านพิพาทให้โจทก์ครอบครองย่อมไม่ใช่เป็นวิธีการบังคับคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งให้ยกวิธีการบังคับคดีเฉพาะบ้านพิพาทและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการใหม่เสียให้ถูกต้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินต่อไป และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ขอหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานให้ศาลชั้นต้นทราบว่าเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2537 ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปที่บ้านไม่ปรากฏเลขที่ หมู่ที่ 3 ตั้งอยู่บนเกาะเฮ ตำบลราไวย์อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ปรากฏว่าจำเลยและบริวารยังไม่ออกไปจากบ้านดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงปิดประกาศให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดแปดวัน วันที่ 2 พฤศจิกายน 2537 ผู้แทนโจทก์แถลงว่าจำเลยและบริวารออกไปจากบ้านดังกล่าวแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจสอบแล้วเป็นความจริง จึงมอบบ้านดังกล่าวให้โจทก์ครอบครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ตรี
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วการที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยและเข้าครอบครองบ้านพิพาทเป็นการไม่ชอบเพราะบ้านดังกล่าวไม่ได้อยู่ในที่ดินพิพาท การที่โจทก์เข้าครอบครองบ้านพิพาทเป็นการบังคับคดีนอกคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้รังวัดตรวจสอบที่ดินพิพาทใหม่โดยมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตให้รังวัดแนวเขตที่ดินพิพาท ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีและเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตต่างรายงานให้ศาลชั้นต้นทราบว่า เจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดแผนที่ตามคำสั่งแล้วแต่ไม่สามารถดำเนินการรังวัดได้เนื่องจากไม่ทราบแนวเขตที่ดินพิพาทที่แน่นอน โดยฝ่ายจำเลยได้นำทำการรังวัดแล้ว ส่วนโจทก์ไม่สามารถนำชี้แนวเขตที่ดินพิพาท5 ไร่ ได้ โดยอ้างว่าแนวเขตที่ดินพิพาทดังกล่าวถูกรื้อถอนไปแล้วและโจทก์ไม่ยอมรับแนวเขตที่ดินพิพาทที่จำเลยนำชี้ พร้อมทั้งไม่ยินยอมให้ทำการรังวัดตามแนวเขตที่จำเลยนำชี้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า สอบผู้แทนโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วแถลงตรงกันว่า บ้านพิพาทอยู่ในที่ดินพิพาทที่จำเลยรุกล้ำที่ดินโจทก์ การบังคับคดีได้กระทำโดยถูกต้องและได้เสร็จสิ้นแล้วทั้งจำเลยเคยแถลงรับว่าจำเลยได้รื้อถอนลวดหนามเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยจึงไม่มีอำนาจมาโต้แย้งการบังคับคดีของโจทก์อีก จึงให้งดการรังวัดแนวเขตที่ดินพิพาทและให้ยกคำร้องคำแถลงของจำเลยที่ยื่นมาเกี่ยวข้องกับการบังคับคดีทั้งหมด
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการบังคับคดีเฉพาะบ้านพิพาท
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบการครอบครองบ้านพิพาทให้แก่โจทก์นั้น เป็นการบังคับคดีเกินหรือนอกคำพิพากษาหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินโจทก์ และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยยอมรับว่าได้ปลูกสร้างบ้านในที่พิพาทปรากฏตามคำแถลงของจำเลยลงวันที่ 11 และ 20 มีนาคม2534 และรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 21 มีนาคม 2534เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครองได้ อย่างไรก็ตามในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้น และในการรื้อถอนให้ปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนไว้ ณ บริเวณนั้นไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการส่งมอบบ้านพิพาทให้โจทก์ครอบครองย่อมไม่ใช่เป็นวิธีการบังคับคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งให้ยกวิธีการบังคับคดีเฉพาะบ้านพิพาท และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการใหม่เสียให้ถูกต้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share