คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3706/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 บัญญัติว่าสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลก็ดีโดยคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการก็ดี โดยประนีประนอมยอมความก็ดีท่านให้มีกำหนดอายุความสิบปี แม้ทั้งที่เป็นประเภทอันอยู่ในบังคับอายุความกำหนดน้อยกว่านั้นดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษาตามยอมที่ถึงที่สุดซึ่งบังคับให้จำเลยที่ 2 จำต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีอายุความสิบปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์กับพวก 4 คน ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 2 และนางช้อย ในที่ดินโฉนดเลขที่ 855 ต่อมาในปี 2495โจทก์กับพวก 4 คน ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 และนางช้อย สนกนกเพื่อขอแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวฝ่ายละครึ่ง มีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งเขตกัน ต่อมาจำเลยที่ 2 และนางช้อยได้นำคำพิพากษาไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 855 แต่ดำเนินการแบ่งแยกไม่ตรงตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยร่วมมือหรือประมาทเลินเล่อทำให้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1จดทะเบียนแบ่งแยกไม่ถูกต้อง การจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมานางช้อยได้ยกที่ดินส่วนของตนให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 โจทก์ตรวจสอบที่ดินโฉนดเลขที่ 855 จึงทราบว่าจำเลยดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อดำเนินการใหม่ให้เป็นไปตามข้อตกลง แต่จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองยกเลิกการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 855 ซึ่งแบ่งแยกเป็นโฉนดเลขที่ 5855, 5856 เสีย แล้วให้แบ่งแยกตามสัญญาประนีประนอมยอมความหากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า สัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง ที่ถูกปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายคำให้การเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ทำการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินถูกต้องตรงกับสัญญาที่ศาลชั้นต้นส่งไปให้จำเลยที่ 1 ทุกประการฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ทั้งโจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลชั้นต้นบังคับตามคำพิพากษาตามยอม และสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมมิใช่ฟ้องเป็นคดีใหม่ ฟ้องของโจทก์ให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความและมีคำพิพากษาตามยอมเกิน 10 ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เดิมโจทก์กับจำเลยที่ 2 เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้น ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 855ตอนเหนือถนนสาธารณประโยชน์เป็นของจำเลยที่ 2 ทั้งหมด สัญญาดังกล่าวตรงตามสารบบคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเกิน 10 ปีแล้วคดีโจทก์จึงขาดอายุความ ทั้งข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การแบ่งแยกโฉนดถูกต้องตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 5855 ซึ่งเป็นโฉนดที่ดินที่แบ่งแยกมาจากโฉนดเดิม การแบ่งแยกให้กระทำตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทโดยไม่เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยที่ 2 อ้างส่งตรงกันว่า มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเกี่ยวกับที่พิพาท เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2495 ปรากฏตามวันที่ซึ่งลงไว้ในเอกสารหมาย จ.2, จ.3, ล.1 และ ล.5 และตามสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของที่พิพาทเอกสารหมาย ล.6 ที่จำเลยที่ 2 อ้างส่งโดยโจทก์มิได้โต้แย้ง ปรากฏว่ามีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2497 เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลก็ดี โดยคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการก็ดี โดยประนีประนอมยอมความก็ดี ท่านให้มีกำหนดอายุความสิบปี แม้ทั้งที่เป็นประเภทอันอยู่ในบังคับอายุความกำหนดน้อยกว่านั้น ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษาตามยอมถึงที่สุดซึ่งบังคับให้จำเลยที่ 2จำต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีอายุความสิบปีโดยนับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไปคือวันที่ 19กุมภาพันธ์ 2495 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 10กันยายน 2529 ซึ่งเป็นเวลาล่วงมาแล้วกว่า 10 ปี นับแต่วันที่ 19กุมภาพันธ์ 2495 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์หมดสิทธิ์ที่จะฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share