แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ย่อมคุ้มครองอารักขาผู้เช่าเคหะควบคุม เพราะค่าเช่าเดือนละไม่เกินหนึ่งพันบาทสำหรับเคหะที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพระนครตามความในมาตรา 4 แม้โจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว การบอกเลิกนั้นก็ไม่บังเกิดผลตามมาตรา 17
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าบ้านเลขที่ ๓๗ ของโจทก์เพื่อใช้เป็นที่เก็บสินค้ามีกำหนด ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๕ ค่าเช่าเดือนละ ๘๓๕ บาท เมื่อครบกำหนด ๑ ปีแล้ว จำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าภายใน ๗ วัน ถือว่าจำเลยไม่ประสงค์เช่าต่อไป จึงบอกเลิกสัญญา จำเลยไม่ยอมออก ไม่ชำระค่าเช่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร กับชำระค่าเช่าที่ค้าง ๑,๖๖๐ บาท และค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญาเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ ไม่ได้ประกอบการค้า ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ ไม่ได้ค้างค่าเช่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง ๒ เดือนกับค่าเช่าตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๖ ถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๗ รวม ๘ เดือนในอัตราเดือนละ ๘๓๕ บาท รวมเป็นเงิน ๘,๓๔๐ บาท คำขอให้ขับไล่ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเช่าบ้านโจทก์เพื่ออยู่อาศัย ได้ความว่าชั้นเดิมจำเลยเช่าบ้านจากโจทก์เดือนละ ๒๐๐ บาท ต่อมาในพ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ ๘๓๕ บาท ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ ย่อมคุ้มครองอารักขาจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่า”เคหะควบคุม” เพราะค่าเช่าไม่เกินหนึ่งพันบาท สำหรับเคหะซึ่งตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพระนครตามความในมาตรา ๔ แม้โจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว การบอกเลิกนั้นก็ไม่บังเกิดผลตามมาตรา ๑๗ ซึ่งบัญญัติว่าผู้ให้เช่าเคหะควบคุมหรือที่ดินควบคุม ไม่มีสิทธิให้ผู้เช่าซึ่งได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าอยู่ในหรือภายหลังวันใช้พระราชบัญญัตินี้ เลิกหรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า แม้จะไม่มีสัญญาเช่าหรือสัญญานั้นสิ้นอายุแล้วก็ตาม โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
พิพากษายืน