คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3692/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนนั้น มาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและไม่มีบทบัญญัติใดให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพากรออกคำสั่งยกเว้นให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ทั้งตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.72/2540 อธิบดีกรมสรรพากรออกคำสั่งดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติในการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราให้สามารถคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในคำสั่งดังกล่าวได้ ไม่มีข้อความใดที่แสดงว่ายกเว้นบทบัญญัติในมาตรา 65 ตรี (5)
การหักค่าเสื่อมราคาและค่าสึกหรอตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องเป็นการลงทุนในทรัพย์สินที่มีสภาพพร้อมใช้งานหรือใช้ประโยชน์ได้แล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าโรงงานของโจทก์อยู่ในสภาพดังกล่าว จึงไม่อาจนำผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิโดยอาศัยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.72/2540 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ผลิตและจำหน่ายนมข้นหวาน นมข้นจืด ตรามะลิ ตราปีกนก และผลิตภัณฑ์นมอื่น ๆ ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2540 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540โจทก์มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 62,164,213.09 บาท โดยโจทก์ได้นำผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 87,824,000 บาท มาบันทึกเป็นรายจ่ายตามคำสั่งของกรมสรรพากรที่ ท.ป.72/2540 ด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนสุทธิที่ กค.0809/2031 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2542 มายังโจทก์ว่าผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(5) แห่งประมวลรัษฎากรไม่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวได้ และทำให้ยอดผลขาดทุนสุทธิเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจากที่โจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการก่อนหักขาดทุนสะสมจำนวน 62,164,213.09 บาท กำไรสุทธิจำนวน25,659,786.91 บาท โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 7,697,936.07 บาทโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินดังกล่าว จึงได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่อมาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ กล่าวคือเมื่อวันที่ 2มกราคม 2540 โจทก์ได้กู้ยืมเงินจากออสเตรเลียแอนด์นิวซีแลนด์แบงกิ้งกรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารต่างประเทศเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานและเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไปจำนวน 20,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำมาใช้ลงทุนในกิจการของโจทก์ในวันทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 25.60 บาท ต่อมาวันที่ 2กรกฎาคม 2540 กระทรวงการคลังได้ออกประกาศเรื่อง ปรับปรุงการแลกเปลี่ยนเงินตราโดยประกาศใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแบบลอยตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการคำนวณกำไรสุทธิในการเสียภาษีเงินได้ของผู้ที่มีหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศอยู่ ณ วันดังกล่าวและเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2540 จำเลยที่ 1 ได้มีคำสั่ง กรมสรรพากรที่ ท.ป.72/2540เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราโดยกำหนดวิธีการลงบัญชีไว้ด้วยกัน3 วิธี ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถเลือกลงบัญชีวิธีใดวิธีหนึ่งได้ วันที่ 31ธันวาคม 2540 อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 47.556 บาท ทำให้โจทก์มีหนี้เพิ่มขึ้นที่เกิดจากผลขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนรวมทั้งสิ้นจำนวน 439,120,000บาท โจทก์จึงได้เลือกวิธีบันทึกบัญชีตามข้อ 3 ของคำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าว โดยเลือกคำนวณกำไรหรือขาดทุนจากการตีราคาทรัพย์สินหรือหนี้สินตามส่วนเฉลี่ยของมูลค่าทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้นตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก (รอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดณ วันที่ 31 ธันวาคม 2540) แต่ไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชี โดยโจทก์ได้นำผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวทั้งหมดมาเฉลี่ยในการลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย จำนวน87,824,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี คำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าวมิได้กำหนดอย่างเฉพาะเจาะจงว่าให้ใช้บังคับเฉพาะหนี้สินหรือทรัพย์สินประเภทใด จึงสามารถนำผลขาดทุนดังกล่าวมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรหรือผลขาดทุนสุทธิได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าส่วนขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นส่วนที่เกิดจากค่าใช้จ่ายหรือส่วนของทรัพย์สินการลงทุนเนื่องจากการกู้เงินที่นำมาใช้ในกิจการของโจทก์เป็นการยากที่จะจำแนกออกมาว่าเงินลงทุนส่วนใดเป็นส่วนลงทุนและส่วนใดเป็นค่าใช้จ่าย ในการเลือกปฏิบัติตามข้อ 3 ของคำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าว โจทก์ได้ระบุวิธีปฏิบัติในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินและแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) พร้อมใบเสร็จรับเงินอันเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 30 จำเลยที่ 1 ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.72/2540เพื่อเป็นการรองรับมาตรการที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศเรื่องปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยวางมาตรการการคำนวณรายได้รายจ่ายไว้ว่าให้เลือกคำนวณเฉลี่ยได้หลายทาง โจทก์จึงได้คำนวณไปตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 หากจำเลยทั้งสี่เห็นว่าผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของโจทก์ดังกล่าวเป็นลักษณะลงทุนห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายแล้ว คำสั่งที่ออกมาดังกล่าวก็ใช้บังคับไม่ได้ ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และโจทก์ไม่ต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 7,697,936.07 บาท

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31ธันวาคม เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2540 โจทก์กู้ยืมเงินจากธนาคารต่างประเทศจำนวน20,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างโรงงานและบริหารงานทั่วไปขณะทำสัญญามีอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 25.60 บาท ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 กระทรวงการคลังได้ประกาศใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแบบลอยตัววันที่ 31 ธันวาคม 2540 อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 47.556 บาท ทำให้โจทก์มีหนี้เพิ่มขึ้นที่เกิดจากผลขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 439,120,000บาท โจทก์บันทึกบัญชีตามข้อ 3 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.72/2540 เรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราโดยนำผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวมาเฉลี่ยในการลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายจำนวน 87,824,000 บาทเจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนสุทธิที่ กค.0809/2031ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2542 แก่โจทก์ว่าผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(5) แห่งประมวลรัษฎากร ทำให้ผลขาดทุนสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์เปลี่ยนแปลงไป เป็นโจทก์มีกำไรสุทธิจำนวน 25,659,786.91 บาท ตามหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนสุทธิเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 47 โจทก์อุทธรณ์การประเมิน ต่อมาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ ศภญ.(อธ7)/50/2543 ลงวันที่ 14 กันยายน 2543 ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 2 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า โจทก์นำผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามฟ้อง ซึ่งเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิโดยอาศัยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540 ได้หรือไม่ เห็นว่า รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนนั้น มาตรา 65 ตรี(5) แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติไม่ ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและไม่มีบทบัญญัติใดให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพากรออกคำสั่งยกเว้นให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ทั้งตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.72/2540 อธิบดีกรมสรรพากรออกคำสั่งดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติในการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราให้สามารถคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในคำสั่งดังกล่าวได้ ไม่มีข้อความใดที่แสดงว่ายกเว้นบทบัญญัติในมาตรา 65 ตรี(5) แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด ที่โจทก์อุทธรณ์ว่ารายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนสามารถหักหรือตัดเป็นรายจ่ายได้ในรูปของการหักค่าเสื่อมราคาหรือค่าสึกหรอนั้น เห็นว่า การหักค่าเสื่อมราคาและค่าสึกหรอตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 65 ทวิ(2) แห่งประมวลรัษฎากรจะต้องเป็นการลงทุนในทรัพย์สินที่มีสภาพพร้อมใช้งานหรือใช้ประโยชน์ได้แล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าโรงงานของโจทก์อยู่ในสภาพดังกล่าว จึงไม่อาจนำผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามฟ้องซึ่งเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิโดยอาศัยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.72/2540 ได้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share