แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องโดยกล่าวรวบยอดจำนวนหนี้ที่จำเลยค้างชำระแม้หนี้ดังกล่าวเป็นค่าซื้อสินค้าหลายครั้งหลายคราว แต่โจทก์ก็ได้อ้างเอกสารรายการสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อแต่ละครั้งตลอดจนราคาแนบมาท้ายฟ้องแล้ว ทั้งตามคำให้การตลอดจนการดำเนินคดีของจำเลยก็ปรากฏชัดอยู่ในตัวว่าจำเลยมิได้ผิดหลงต่อคำฟ้องของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ส่งหนังสือแจ้งรายการหนี้ให้จำเลยชำระ จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นปฏิเสธความรับผิด แต่ได้ลงนามรับรองที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในหนังสือนั้น ดังนี้ แม้จะฟังว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์บางรายการน่าจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวย่อมถือเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่าได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความนั้นแล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างอายุความมาเป็นข้อตัดฟ้องเพื่อปฏิเสธความรับผิด การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความของลูกหนี้ชั้นต้นไม่ลบล้างสิทธิของผู้ค้ำประกันในอันที่จะหยิบยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ แต่เมื่อผู้ค้ำประกันมิได้อ้างอายุความเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลฎีกาจึงไม่อาจวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ผู้ค้ำประกันได้ ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยเรื่องความรับผิดในค่าบริการติดตามทวงถามนั้น เป็นการกำหนดค่าเสียไว้ล่วงหน้าในกรณีที่จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ มีผลใช้บังคับได้ไม่ตกเป็นโมฆะ แต่หากสูงเกินส่วนศาลอาจลดจำนวนลงได้ตามความเหมาะสม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการระหว่างวันที่ 2 เมษายน 2522ถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2526 ต้องรับผิดเกี่ยวกับหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่เกิดขึ้นขณะจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและออกจากหุ้นส่วนไปไม่เกิน 2 ปี จำเลยที่ 4 เป็นบริษัทจำกัด ดำเนินกิจการธนาคาร ระหว่างวันที่ 2 เมษายน 2522 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2525จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันสั่งซื้อสินค้าต่าง ๆ ไปจากโจทก์และเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์อยู่จำนวน 199,437 บาท และเป็นหนี้ค่าบริการติดตามทวงถามในอัตราร้อยละ 24 ต่อปี เป็นจำนวน174,315.39 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ทำหนังสือรับสภาพหนี้และตกลงผ่อนชำระหนี้ โดยยอมให้โจทก์คิดค่าบริการติดตามทวงถามในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีคิดถึงวันที่ 28 มีนาคม 2525 จำเลยที่ 1และที่ 3 ยังเป็นหนี้ค่าบริการติดตามทวงถามเป็นเงิน 145,262.83 บาทรวมกับค่าสินค้าที่ค้างชำระแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 3 รับว่า เป็นหนี้โจทก์ถึงวันที่ 29 มีนาคม 2525 จำนวน 344,699.83 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 3 ตกลงผ่อนชำระค่าสินค้าและค่าบริการติดตามทวงถามให้โจทก์เป็นงวด ๆ ชำระแล้ว 3 งวด จำนวน 240,000 บาท ส่วนที่เหลือ 104,699.83 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 3 ค้างชำระตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2525 และระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน 2525 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2525 จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าต่าง ๆ โจทก์อีก คือ วันที่ 2 มิถุนายน 2525 ถึงวันที่ 6 มิถุนายน2525 ร่วมกันสั่งซื้อสินค้าปูนซีเมนต์ตราช้าง รวมค่าขนส่งและค่าบริการคลังสินค้าเป็นค่าสินค้า 12,663 บาท รับสินค้าไปครบถ้วนแล้วตกลงจะชำระค่าสินค้าภายในวันที่ 4 สิงหาคม 2525ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน 2525 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2525 ซื้อปูนซีเมนต์ตราช้าง รวมค่าขนส่งและค่าบริการคลังสินค้าเป็นค่าสินค้า25,326 บาท รับสินค้าไปครบถ้วนแล้ว ตกลงจะชำระค่าสินค้าภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2525 ระหว่างวันที่ 9 กรกฎาคม 2525 ถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2525 ซื้อปูนซีเมนต์ตราช้าง รวมค่าขนส่งและค่าบริการคลังสินค้าเป็นค่าสินค้า 37,989 บาท รับสินค้าไปครบถ้วนแล้ว ตกลงจะชำระค่าสินค้าภายในวันที่ 8 กันยายน 2525 ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2525 ถึงวันที่ 5 กันยายน 2525 ซื้อปูนซีเมนต์ตราช้าง รวมค่าขนส่งและค่าบริการคลังสินค้าเป็นค่าสินค้า74,298 บาท รับสินค้าไปครบถ้วนแล้ว ตกลงจะชำระค่าสินค้าภายในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2525 ระหว่างวันที่ 17 กันยายน 2525ถึงวันที่ 19 กันยายน 2525 ซื้อปูนซีเมนต์ตราเสือรวมค่าขนส่งและค่าบริการคลังสินค้าเป็นค่าสินค้า 10,199 บาท รับสินค้าไปครบถ้วนแล้ว ตกลงจะชำระค่าสินค้าภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2525 รวมเป็นค่าสินค้าทั้งสิ้น 160,475 บาท เมื่อถึงกำหนดชำระค่าสินค้าแต่ละงวดกลับเพิกเฉยไม่ยอมชำระซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตกลงให้โจทก์เรียกค่าบริการติดตามทวงถามได้อีกในอัตราร้อยละ 24 ต่อปีด้วย เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2526 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเปลี่ยนหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนผู้จัดการจากจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยที่ 2 ดังนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ผิดนัดไม่ยอมชำระหนี้ค่าสินค้าและค่าบริการติดตามทวงถามให้โจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ค่าสินค้ากับค่าดอกเบี้ยและค่าบริการติดตามทวงถามของต้นเงินที่ค้างชำระแต่ละรายการให้โจทก์คือ ดอกเบี้ยต้นเงินจำนวน104,699.83 บาท อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม2525 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 6,870.85 บาท ค่าบริการติดตามทวงถามต้นเงินจำนวน 12,663 บาท อัตราร้อยละ 24 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2525 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,878.70 บาทค่าบริการติดตามทวงถามต้นเงินจำนวน 25,326 บาท อัตราร้อยละ24 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2525 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน5,402.80 บาท ค่าบริการติดตามทวงถามต้นเงินจำนวน 37,989 บาทอัตราร้อยละ 24 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2525 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 7,775.04 บาท ค่าบริการติดตามทวงถามต้นเงิน74,298 บาท อัตราร้อยละ 24 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2525ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 12,482.04 บาท ค่าบริการติดตามทวงถามต้นเงิน10,199 บาท อัตราร้อยละ 24 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2525ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,617.98 บาท รวมเป็นเงินค่าดอกเบี้ยและค่าบริการติดตามทวงถามตั้งแต่วันที่จำเลยผิดนัดแต่ละรายถึงวันฟ้องรวมทั้งสิ้น 37,027.41 บาท รวมกับต้นเงินที่ค้างชำระจำนวน 265,174.83 บาท แล้วรวมเป็นเงิน 302,202.24 บาท จำเลยที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันการซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 โดยสัญญาว่าถ้าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 4 ยินยอมรับผิดร่วมกันหรือแทนกันกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในวงเงินไม่เกิน 300,000 บาท จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดตามฟ้องต่อโจทก์ โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสี่ต่างเพิกเฉย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 302,202.24 บาท แก่โจทก์ โดยกำหนดให้จำเลยที่ 4 รับผิดไม่เกินวงเงิน 300,000 บาท กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกัน ชำระดอกเบี้ยต้นเงิน 104,699.83 บาทในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าบริการติดตามทวงถามของต้นเงิน 160,475 บาท อัตราร้อยละ 24 ต่อปี ถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต่างยื่นคำให้การ แต่สรุปใจความได้ทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้ต่อโจทก์ โจทก์ทำขึ้นเองภายหลังที่หนี้ขาดอายุความแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่อาจทำให้จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 เข้าใจได้ว่า โจทก์ขายอะไรและจำเลยซื้ออะไรกี่ครั้ง แต่ละครั้งเมื่อใด เป็นเงินเท่าใด เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 เคยซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้องหลายคราวตั้งแต่ปี 2522 เป็นค่าสินค้าจำนวน 199,437 บาท และ 160,475 บาทรวมเป็นค่าสินค้าที่ซื้อจากโจทก์ทั้งสิ้น 359,912 บาท แต่ชำระค่าสินค้าดังกล่าวให้โจทก์แล้ว 240,000 บาท ส่วนที่เหลือ119,912 บาท โจทก์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์ และแจ้งให้โจทก์ไปรับเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงหลุดพ้นจากหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าบริการติดตามทวงถามจากจำเลยอัตราร้อยละ 24 ต่อปี หนังสือยินยอมท้ายฟ้องโจทก์หมายเลข 12 เป็นโมฆะ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จำเลยที่ 2 เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการภายหลังหนี้สินระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์เกิดขึ้น จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด และจำเลยที่ 3 เป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และได้ลาออกแล้วขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 4 ให้การว่า ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์จริง แต่จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินค้าให้โจทก์โดยนำไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์ จำเลยที่ 4 ไม่ต้องชำระให้โจทก์อีก ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 302,202.24 บาท แก่โจทก์ โดยกำหนดให้จำเลยที่ 4 รับผิดไม่เกินวงเงิน 300,000 บาท และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 104,699.83 บาท กับต้นเงินค่าบริการติดตามทวงถามจำนวน 160,475 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่บรรยายแจกแจงรายละเอียดให้เห็นว่าการสั่งซื้อสินค้าของจำเลยที่ 1 จากโจทก์แต่ละครั้งนั้น มีสินค้าประเภทใดบ้าง ปริมาณและราคาเท่าใด จำเลยผิดนัดตั้งแต่เมื่อไร ซึ่งทำให้จำเลยไม่สามารถให้การและต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ดังนี้เห็นว่า แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวรวบยอดจำนวนหนี้ที่จำเลยยังค้างชำระแก่โจทก์โดยมิได้ระบุรายละเอียดดังที่จำเลยโต้แย้งก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้อ้างเอกสารรายการสินค้าที่สั่งซื้อในแต่ละครั้งตลอดจนราคาแนบมาท้ายฟ้องซึ่งจำเลยก็สามารถตรวจดูได้ ทั้งรายละเอียดดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาอยู่แล้ว นอกจากนี้ตามคำให้การตลอดจนการดำเนินคดีของจำเลยก็ปรากฏชัดอยู่ในตัวว่าจำเลยมิได้ผิดหลงต่อคำฟ้องของโจทก์แต่ประการใด อันจะอ้างเหตุเคลือบคลุมมาเป็นข้อตัดฟ้องได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาข้อต่อไปคือปัญหาเรื่องอายุความ ปรากฏว่าระหว่างที่จำเลยผิดนัดในการชำระราคาสินค้าให้โจทก์นั้น โจทก์ได้ดำเนินการทวงถามเพื่อเร่งรัดหนี้ไปยังจำเลย ซึ่งจำเลยก็มิได้ปฏิเสธความรับผิดโดยยกอายุความนั้นเป็นข้ออ้างขึ้นใช้ยันโจทก์แต่ประการใด ตรงกันข้ามเมื่อโจทก์ส่งหนังสือแจ้งรายการหนี้เพื่อขอให้จำเลยปฏิบัติการชำระ จำเลยที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นก็ลงนามรับรองที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในเอกสารหมาย จ.8 ดังนั้นการที่จำเลยจะมาโต้แย้งในภายหลังว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงจดหมายที่พนักงานของโจทก์ทำขึ้นเพื่อแจ้งให้จำเลยทราบและปฏิบัติการชำระหนี้โดยที่จำเลยมิได้ยินยอมด้วยนั้นจึงฟังไม่ขึ้น และเมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้แม้จะฟังว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์บางรายการน่าจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าว ย่อมถือเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่าได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความนั้นแล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงไม่อาจอ้างอายุความมาเป็นข้อตัดฟ้องเพื่อปฏิเสธความรับผิดได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอย่างไรก็ดี การละประโยชน์แห่งอายุความของจำเลยทั้งสามอันเป็นลูกหนี้ชั้นต้นดังกล่าวหาได้ลบล้างสิทธิของจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันในอันที่จะหยิบยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 วรรคสองแต่จำเลยที่ 4 ก็มิได้อ้างอายุความเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การศาลฎีกาจึงไม่อาจวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 4 ตามที่ฎีกาขึ้นมาได้ ฎีกาของจำเลยที่ 4 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในจำนวนหนี้เท่าใด ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่2 จำนวนคือ 199,437 บาท กับ 160,475 บาท และชำระไปแล้ว 240,000 บาทคงค้างอยู่อีกเป็นเงิน 119,912 บาท ซึ่งจำเลยได้นำไปชำระให้แก่โจทก์แล้วแต่โจทก์ไม่ยอมรับ ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อโต้แย้งระหว่างโจทก์และจำเลยเกี่ยวกับค่าบริการติดตามทวงถาม ซึ่งโจทก์เห็นว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่จะต้องชำระให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 20 และ 24 ต่อปี จากจำนวนหนี้ทั้งสองรายการ เมื่อเป็นดังนี้จำเลยจึงได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์กรมบังคับคดี ในปัญหาเรื่องค่าบริการติดตามทวงถามซึ่งคู่กรณีโต้เถียงกันนี้ ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองที่ฟังว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยเช่นนี้ เป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันจำเลยพึงชดใช้ให้แก่โจทก์ในกรณีที่ตนตกเป็นผู้ผิดนัด จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับกันได้หาตกเป็นโมฆะไม่ อย่างไรก็ดีปริมาณแห่งความรับผิดที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 20 และ24 ต่อปี เป็นค่าบริการติดตามทวงถามตามข้อตกลงนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าสูงเกินส่วน และในทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเร่งรัดหนี้หรือได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างไร จึงต้องเรียกร้องค่าบริการติดตามทวงถามสูงถึงขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ศาลฎีกาจึงเห็นควรลดจำนวนเบี้ยปรับลงตามความเหมาะสม เหลือร้อยละ 15 ต่อปี จากหนี้ทั้งสองจำนวนที่จำเลยยังคงค้างชำระโจทก์อยู่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยเป็นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าบริการติดตามทวงถามในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากจำนวนหนี้ที่ยังค้างชำระ นับจากวันผิดนัดจนถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์