คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าห้องแถวระบุว่า ให้เช่าเป็นที่อยู่และค้าขาย แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เช่าเช่าด้วยเจตนาประกอบธุรกิจการค้าเป็นส่วนสำคัญ แม้จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ. 2489
เมื่อคดีนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินออกใช้บังคับ ผู้เช่าก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายใหม่ เพราะคดีนี้พิพาทกันก่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวออกใช้ ทั้งคดีก็ฟังได้ว่าผู้เช่าได้ใช้ห้องพิพาทโดยเจตนาเพื่อประกอบธุรกิจการค้าด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องแถวของโจทก์ สัญญาเช่าสิ้นสุดแล้ว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยส่งมอบห้องคืน จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่และชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่าเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยและค้าขาย ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ทั้งเมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าต่อไป
แล้วคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกัน และต่างไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยตามเอกสารที่อ้าง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจาฟห้องพิพาทและใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่ามีข้อตกลงกันชัดเจนว่าให้จำเลยเช่าอยู่อาศัยและค้าขาย ความประสงค์ส่วนใหญ่ของจำเลย ๆ ต้องการเป็นที่อยู่อาศัย ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทด้วยเจตนาประกอบธุรกิจการค้าเป็นส่วนสำคัญ แม้จำเลยจะใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยด้วย จำเลยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมคั่ซัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินแล้วนั้น คดีนี้พิพาทกันก่อนใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว แม้กระนั้น เมื่อฟังว่าจำเลยได้ใช้ห้องพิพาทโดยเจตนาเพื่อประกอบธุรกิจการค้าดังกล่าวแล้ว จำเลยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายใหม่แต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share