แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้รับบัตรส่งเสริมของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนซึ่งกำหนดเงื่อนไขไว้ในข้อ 3 ว่าวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นที่คณะกรรมการอนุมัติให้ยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้า และภาษีการค้านั้นจะต้องใช้เฉพาะในกิจการส่วนที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการให้ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าและหรือภาษีการค้าเท่านั้น หากจะจำหน่ายจ่ายโอนหรือนำไปใช้ในการอื่นจะต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และในข้อ 13.4 ก็กำหนดให้จำเลยนำผลิตภัณฑ์ที่ผลิตหรือประกอบส่งออกไปจำหน่ายนอกราชอาณาจักรทั้งสิ้น หากจำเลยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับตามบัตรส่งเสริมดังกล่าว จำเลยก็ย่อมไม่อาจถือประโยชน์ที่ได้รับตามบัตรส่งเสริมได้ เมื่อจำเลยมีวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่นำเข้าคงเหลือที่ไม่ได้ใช้ผลิต ผสม หรือประกอบผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกภายในระยะเวลาหนึ่งปีตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จำเลยจะได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าและภาษีการค้าตามบัตรส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว
ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 บัญญัติว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีอำนาจอนุญาตให้ผู้รับการส่งเสริมจำหน่ายเครื่องจักรที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรได้โดยการอนุญาตจะทำเป็นหนังสือหรือแก้ไขบัตรส่งเสริมโดยระบุเงื่อนไขและรายละเอียดในการอนุญาตไว้ด้วยก็ได้ และวรรคสามบัญญัติว่า ห้ามมิให้นำกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่ผู้ได้รับการส่งเสริมซึ่งได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการตามมาตรานี้ แต่ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยประสงค์จะจำหน่ายเครื่องจักรและได้มีหนังสืออนุญาตให้จำเลยจำหน่ายเครื่องจักรหรือมีการแก้ไขบัตรส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ทั้งคดีก็ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยได้จำหน่ายจ่ายโอนเครื่องจักรดังกล่าวไปแล้วหรือไม่ กรณีเช่นนี้จะถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขโดยการจำหน่ายเครื่องจักรแล้วหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรขาเข้าและภาษีการค้าในส่วนนี้
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินภาษีอากรจำนวน ๔๒๙,๐๕๓ บาท และเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินอากรขาเข้ารวม ๗๒,๒๒๓ บาท เป็นรายเดือนนับถัดจากวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ ซึ่งศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและประโยชน์ตามที่ได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน จำเลยย่อมได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น ไม่ปรากฏว่าได้มีคำสั่งของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์ทั้งหมดหรือบางส่วนที่ได้ให้แก่จำเลย เนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยได้รับบัตรส่งเสริมของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนซึ่งกำหนดเงื่อนไขไว้ในข้อ ๓ ว่าวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นที่คณะกรรมการอนุมัติให้ยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้า และภาษีการค้านั้นจะต้องใช้เฉพาะในกิจการส่วนที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการให้ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าและหรือภาษีการค้าเท่านั้น หากจะจำหน่ายจ่ายโอนหรือนำไปใช้ในการอื่นจะต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน นอกจากนี้ในข้อ ๑๓.๔ ก็ได้กำหนดให้จำเลยนำผลิตภัณฑ์ที่ผลิตหรือประกอบส่งออกไปจำหน่ายนอกราชอาณาจักรทั้งสิ้น ข้อความตามบัตรส่งเสริมที่จำเลยได้รับจึงระบุเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ของจำเลยไว้โดยชัดแจ้ง หากจำเลยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับตามบัตรส่งเสริมดังกล่าว จำเลยก็ย่อมไม่อาจถือประโยชน์ที่ได้รับตามบัตรส่งเสริมได้ ดังนี้ เมื่อได้ความตามคำเบิกความของนางสาวอุไร เรืองอักษร เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการลงทุน ๘ ว. สำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน พยานโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยมีวัตถุดิบคงเหลือที่ไม่ได้ใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อส่งออกภายในเงื่อนไขกำหนดเวลาตามบัตรส่งเสริม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจึงมีหนังสือลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๔ แจ้งจำเลยให้เสียภาษีอากรตามสภาพ ณ วันนำเข้าสำหรับวัตถุดิบที่ไม่ได้ใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกภายในเงื่อนไขกำหนดเวลา ดังนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่นำเข้าคงเหลือดังกล่าวที่ไม่ได้ใช้ผลิต ผสม หรือประกอบผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกภายในระยะเวลาหนึ่งปีตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จำเลยจะได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าและภาษีการค้าตามบัตรส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดเสียภาษีอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่คงเหลือดังกล่าว โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปเกี่ยวกับสินค้าประเภทเครื่องจักรนั้นโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ขออนุมัติขายเครื่องจักรที่นำเข้า ๙ รายการ เฉพาะที่เกี่ยวกับคดีนี้มี ๓ รายการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนอนุมัติให้จำเลยขายเครื่องจักรได้แต่จะต้องชำระภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีส่วนท้องถิ่น เห็นว่า ตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. ๒๕๒๐ บัญญัติว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีอำนาจอนุญาตให้ผู้รับการส่งเสริมจำหน่ายเครื่องจักรที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรได้โดยการอนุญาตจะทำเป็นหนังสือหรือแก้ไขบัตรส่งเสริมโดยระบุเงื่อนไขและรายละเอียดในการอนุญาตไว้ด้วยก็ได้ และวรรคสามบัญญัติว่า ห้ามมิให้นำกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับแก่ผู้ได้รับการส่งเสริมซึ่งได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการตามมาตรานี้ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันว่า จำเลยประสงค์จะจำหน่ายเครื่องจักรและได้มีหนังสืออนุญาตให้จำเลยจำหน่ายเครื่องจักรหรือมีการแก้ไขบัตรส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ทั้งคดีก็ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยได้จำหน่ายจ่ายโอนเครื่องจักรดังกล่าวไปแล้ว คงมีแต่หนังสือที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีไปถึงอธิบดีกรมศุลกากร เพื่อขอให้เรียกเก็บอากรเครื่องจักรของจำเลย ในเอกสารดังกล่าวมีข้อความเพียงว่าสำนักงานได้ตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่ามีเครื่องจักรที่บริษัทฯ (จำเลย) ต้องชำระภาษีอากรตามสภาพของราคาและอัตรา ณ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๗ จำนวน ๙ รายการ ตามรายละเอียดในสิ่งที่มาด้วย ในหนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดกล่าวถึงหรือแสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้มีหนังสืออนุญาตให้จำเลยจำหน่ายเครื่องจักรที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรโดยระบุเงื่อนไขในการอนุญาต โดยให้จำเลยชำระอากรขาเข้าและภาษีการค้าให้แก่โจทก์ที่ ๑ เนื่องจากจำเลยไม่ได้รับสิทธิและประโยชน์ตามบัตรส่งเสริมการลงทุนนั้นต่อไป ทั้งคดีก็ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยได้จำหน่ายเครื่องจักรดังกล่าวไปแล้วหรือไม่ กรณีเช่นนี้จะถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขโดยการจำหน่ายเครื่องจักรแล้วหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรขาเข้าและภาษีการค้าในส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน ๕๔,๓๙๖.๕๔ บาท กับให้จำเลยชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินอากรขาเข้า ๒๐,๙๘๓ บาท เป็นรายเดือนนับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง.