คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การขอให้คืนของกลางที่ศาลสั่งริบตาม ป.อ. มาตรา 36 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา จึงเป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบ แสดงให้ศาลเห็นว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย เมื่อผู้ร้องแถลงไม่สืบพยานจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันพยายามวิ่งราวทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 336 ทวิ, 83, 80 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุก 1 ปี ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า รถจักรยานยนต์ของกลางที่ศาลสั่งริบนั้น ผู้ร้องเป็นเจ้าของและมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย ขอให้คืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางและมีสิทธิขอคืนได้หรือไม่ เห็นว่า การขอให้ศาลสั่งคืนของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญาเมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง คดีนี้แม้จะฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องก็ยังมีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย การที่ผู้ร้องแถลงไม่สืบพยานจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด…”
พิพากษายืน.

Share