คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 955/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยมิได้จดทะเบียนโอนกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย สัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆะแต่โจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้ต่อมาจำเลยที่ 1จะนำที่พิพาทไปยกให้จำเลยที่ 3 แต่การยกให้นั้นจำเลยที่ 3 ผู้ได้สิทธิมิได้เสียค่าตอบแทนกรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1299วรรคสอง ที่จะทำให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ (จากการครอบครองปรปักษ์) แทนชื่อจำเลยที่ 1จำเลยไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องโอนให้ เป็นหน้าที่โจทก์ต้องไปดำเนินการให้มีชื่อตนในโฉนดเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคล เมื่อปี2501 โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งานเศษราคา 40,000 บาท ทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง จำเลยที่ 1รับเงินแล้วส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์ทำประโยชน์อย่างเจ้าของนับแต่นั้นจนถึงวันฟ้องเกินกว่า 20 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์โดยผลกฎหมาย ประมาณเดือนตุลาคม 2526 โจทก์รังวัดที่ดิน แต่ถูกคัดค้านว่าที่ดินเป็นของโรงเรียนวัดชัยสิทธิ์อนุสรณ์ ซึ่งจำเลยที่ 1ได้ทำสัญญายกให้จำเลยที่ 3 แล้ว โดยจำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการแทน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7919 ตำบลคชสิทธิ์ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 87 ตารางวากับให้เพิกถอนการให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3พร้อมกับให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนชื่อจำเลยที่ 1 หากไม่ไปให้ถือคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่เคยทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทกับจำเลยที่ 1 ไม่เคยส่งมอบการครอบครองให้โจทก์ ที่อ้างครอบครองปรปักษ์ไม่เป็นความจริงเพราะที่พิพาทได้ขายให้โรงเรียนวัดชัยสิทธิ์อนุสรณ์หลายปีแล้ว พร้อมมอบการครอบครองให้โรงเรียนต่อมาได้จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 3 (กระทรวงการคลัง) โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียน
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายถนอม มนตรี ทายาทเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ซึ่งถึงแก่กรรม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ครอบครองติดต่อกันเกิน 10 ปีแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 และจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แม้สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้จดทะเบียนโอนกันให้ถูกต้องตามกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะ แต่การที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2501 ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้ต่อมาจำเลยที่ 1จะนำที่พิพาทไปยกให้จำเลยที่ 3 เมื่อปี 2524 แต่การยกให้ดังกล่าวจำเลยที่ 3 ผู้ได้สิทธิมิได้เสียค่าตอบแทน กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1299 วรรคสอง ที่จะทำให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ที่มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยที่ 3ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนชื่อจำเลยที่ 1นั้น จำเลยไม่มีหน้าที่อย่างใดในทางนิติกรรมที่จะต้องโอนที่พิพาทให้โจทก์ เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องดำเนินการให้มีชื่อของตนในโฉนดต่อไป
พิพากษากลับว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 7919 ตำบลคชสิทธิ์อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 87 ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ให้ยกคำขอของโจทก์ตามฟ้องที่ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนแก้ไขหลักฐานในที่ดินให้เป็นชื่อของโจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share