คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายของข้อความในสัญญาเช่าต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่ากรณีที่จำเลยก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาทที่เช่าจากโจทก์ ก็เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยและทำการค้าของจำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จำเลยอุทธรณ์ว่าที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาท ก็เพื่อให้ตึกแถวพิพาทซึ่งมีลักษณะชำรุดทรุดโทรมมากให้มีลักษณะกลับคืนดีขึ้นใหม่ จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาทว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา โดยอ้างข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่3518 ร่วมกับบุคคลอื่น และเป็นเจ้าของตึกแถวเลขที่ 560/175ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งสี่ ต่อมาโจทก์ทั้งสี่ได้ให้จำเลยเช่าตึกแถวดังกล่าวโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและไม่ได้กำหนดเวลาเช่าไว้ ครั้งหลังสุดกำหนดอัตราค่าเช่าเดือนละ1,500 บาท โจทก์ทั้งสี่ประสงค์จะใช้ประโยชน์ในตึกแถวที่ให้เช่าจึงบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวเลขที่ 560/175 และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 1,500 บาท นับแต่เดือนมกราคม 2530จนถึงเดือนฟ้องคิดเป็นเงิน 4,500 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 1,500 บาท นับถัดจากเดือนฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบตึกแถวให้โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้เช่าตึกแถวพิพาทจากนางฮะ ศรีจันทร์เจ้าของเดิมมาตั้งแต่ปี 2490 ได้เสียค่าตอบแทนให้แก่นางฮะครั้งแรก 25,000 บาท เมื่อนางฮะถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสี่ได้ให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทต่อไป ในปี 2523-2524 จำเลยได้ขออนุญาตนายจรูญ ศรีจันทร์ บิดาโจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ทั้งสี่เก็บค่าเช่าจากจำเลยว่า จำเลยจะต่อเติมตึกแถวพิพาทหลายรายการ นายจรูญได้ยินยอมโดยจะให้จำเลยเช่าอยู่โดยไม่มีกำหนดเวลา จำเลยจึงทำการดัดแปลงตึกแถวพิพาทหลายรายการเช่น กั้นห้องใหม่ ย้ายบันได ต่อเติมห้องชั้น 2 อีก 1 ห้องเป็นต้น รวมเสียค่าก่อสร้างไปเป็นเงิน 359,000 บาท นับเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากตึกแถวพิพาทและเรียกค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์ออกจากตึกแถวพิพาทเลขที่ 560/175 และส่งมอบตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 1,500 บาทนับแต่เดือนมีนาคม 2530 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากตึกแถวพิพาทของโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเฉพาะข้อกฎหมายว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยว่าเป็นข้อเท็จจริงนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายของข้อความในสัญญาเช่าจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่ากรณีที่จำเลยก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาทที่เช่าจากโจทก์ ก็เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยและทำการค้าของจำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษกว่าสัญญาเช่าธรรมดา การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาท ก็เพื่อให้ตึกแถวพิพาทซึ่งมีลักษณะชำรุดทรุดโทรมมากให้มีลักษณะกลับคืนดีขึ้นใหม่จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้นเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาทว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา โดยอ้างข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share