คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ได้เกี่ยวเป็นคู่ความในคดีพิพาทเรื่องที่ดินรายนี้มาครั้งหนึ่งแล้วและศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดในดคีนั้นไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ได้ซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนทั้งได้จดทะเบียนสิทธิแล้วโจทก์ทั้งสองจะหยิบยกเอาการครอบครองโดยปรปักษ์มาต่อสู้ใช้ยันจำเลยที่ 1 ไม่ได้ แต่มาในคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างถึงกรรมสิทธิที่โจทก์ควรมีควรได้ตาม ป.พ.พ. ม.1300 ซึ่งในมาตราเดียวกันนี้วางข้อยกเว้นไว้และศาลได้ชี้ขาดในคดีก่อนตามประเด็นที่โต้เถียงกันตามข้อยกเว้นนี้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เห็นได้ชัดว่เพื่อประสงค์นำสืบถึงเหตุผลซึ่งโจทก์นำสืบไว้ในคดีก่อนไม่สมบูรณ์เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อนไม่เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.144.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๑๖๙ เนื้อที่ ๒ งาน นายบุญมาจำเลยขายให้กับนายจำนงค์จำเลยนั้นนางสุ่นกับโจทก์ทั้งสองได้ปกครองมาเป็นเวลา ๒๖ ปีแล้วจึงได้กรรมสิทธิและโจทก์อยู่ในฐานะจะได้จดทะเบียนสิทธิก่อนจำเลยทำการโอนซื้อขายกัน การซื้อขายที่ดินที่จำเลยทำขึ้นไม่สุจริตเป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม ป.พ.พ. ม.๑๓๐๐ โจทก์เพิ่งทราบว่าเมื่อนายจำนงค์จำเลยฟ้องนายป้าน โจทก์กับพวกตามคดีแดงที่ ๙๒/๒๔๙๗ จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ ๒ งานทางด้านตะวันตกของคลองส่งน้ำตกในโฉนดที่ ๑๑๖๙ เป็นกรรมสิทธิของโจทก์ให้เพิกถอนการซื้อขายเสีย
จำเลยปฏิเสธต้องคำกันว่าโจทก์ทั้งสองหรือบุคคลอื่นใดไม่เคยมาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ ๑ ครอบครองที่พิพาทโดยไม่มีผู้ใดมารบกวน จำเลยที่ ๑ รับซื้อไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ชอลด้วย ก.ม.แล้วและตัดฟ้องว่าคดีขาดอายุความ ทั้งเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแดงที่ ๙๒/๒๔๙๗ ขอให้ยกฟ้อง
คู่ความแถลงรับกันว่าที่พิพาทในคดีนี้กับที่พิพาทในคดีแพ่งแดงที่ ๙๒/๒๔๙๗ เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คดีก่อนนายจำนงค์จำเลยฟ้องนายป้านโจทก์กับพวกหาว่าบุกรุกที่พิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ ๑๑๖๙ ซึ่งตนซื้อมาจากนายบุญมา นางจัน ในคดีนั้นนายป้านกับพวกซึ่งเป็นจำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ ๑๑๖๙ ซึ่งตนซื้อมานางนางยิ้ม ไม่ใช่เป็นที่ในโฉนดที่ ๑๑๖๙ ของนายจำนงค์ แม้ที่พิพาทจะอยู่ในโฉนดที่ ๑๑๖๙ นางสุ่น นางยิ้มเจ้าของเดิมกับนายป้านได้ครอบครองด้วยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันกว่า ๑๐ ปีแล้วนายป้านย่อมได้กรรมสิทธิที่พิพาทโดยการครอบครอง นางยิ้มผู้ขายที่ดินโฉนดที่ ๑๑๗๒ ให้แก่นายป้านได้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยในดคีนั้นร่วมด้วยปัญหาที่ว่าที่พิพาทอยู่ในโฉนดไหนนั้นศาลวินิจฉัยว่าอยู่ในโฉนดที่ ๑๑๖๙ ของนายจำนงค์นับแต่นายจำนงค์ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๑๑๖๙ (รวมทั้งที่พิพาท) จนถึงวันฟ้องยังไม่ถึง ๑๐ ปี นายจำนงค์ได้ซื้อโดยเสียค่าตอบแทนและสุจริตทั้งได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว แม้นางยิ้มจะได้ครอบครองที่พิพาทต่อจางนางสุ่นกว่า ๑๐ ปี แต่นางยิ้มมิได้จดทะเบียนสิทธิที่พิพาทซึ่งตนได้ครอบครองปรปักษ์มา นางยิ้มจะยกการครอบครองปรปักษ์ต่อสู้นายจำนงค์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิในที่พิพาทโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ตาม ป.พ.พ. ม.๑๒๙๙ วรรค ๒ เมื่อนางยิ้มยกการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นายจำนงค์ไม่ได้แล้ว นายป้านผู้รับโอนที่ดินจากนางยิ้มก็จะใช้สิทธิครอบครองโดยปรปักษ์ของนางยิ้มมาใช้ยันกับนายจำนงค์ไม่ได้ เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดักว่าผู้โอน ศาลจึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของนายจำนงค์ ขณะนั้นคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ศาลจังหวัดสุพรรบุรีพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้วปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองและนายจำนงค์จำเลยได้เกี่ยวเป็นคู่ความในคดีแดงที่ ๙๔/๒๔๙๗ มาแล้ว คำฟ้องของโจทก์คดีนี้โจทก์อ้างถึงกรรมสิทธิที่โจทก์ควรมีควรได้ตาม ป.พ.พ. ม.๑๓๐๐ ซึ่งในมาตราเดียวกันนี้วางข้อยกเว้นไว้และ ศาลก็ได้ชี้ขาดในคดีก่อนตามประเด็นที่โต้เถียงกันตามข้อยกเว้นนั้นว่านายจำนงค์จำเลยได้รับโอนที่พิพาทโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ตามฎีกาโจทก์ก็เห็นได้ชัดว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อประสงค์นำสืบถึงเหตุผลซึ่งโจทก์นำสืบไว้ในคดีก่อนไม่สมบูรณ์เท่านั้น การที่นายบุญมาจำเลยมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีก่อนไม่เป็นเหตุที่จะให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้อนได้อีก จึงพิพากษายืน.

Share