คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3668/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ข้อแรกว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเอาเช็คจำนวน 105 ฉบับ ของโจทก์ไปหรือไม่และข้อ 2 ว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดใช้เงินตามฟ้องหรือไม่ นั้น ย่อมรวมถึงประเด็นเรื่องค่าเสียหายอันเกิดจากการเอาเช็คตามฟ้องของโจทก์ไปด้วย เพราะตามฟ้องระบุว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คที่จำเลยทั้งสองเบียดบังเอาไปการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงค่าเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องนอกฟ้อง นอกประเด็น โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาว่ายักยอกเช็คหลายฉบับ ซึ่งมีเช็คตามฟ้องในคดีนี้อยู่ด้วย แม้คดีนี้จะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวก็ตาม แต่คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นกรรมการของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการและเคยเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์ ในระหว่างที่จำเลยทั้งสองเป็นกรรมการบริหารและดำเนินการแทนโจทก์นั้น จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเก็บรักษาเช็คที่ลูกค้าของโจทก์ออกให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้และค้ำประกัน รวมทั้งสมุดเช็คและบัญชีเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ละทิ้งงานและหลบหนีไปปรากฏว่าในระหว่างที่จำเลยทั้งสองบริหารกิจการของโจทก์นั้น จำเลยทั้งสองได้กระทำการทุจริตยักยอกเอาเช็คที่บุคคลและนิติบุคคลออกชำระหนี้ให้แก่โจทก์ รวมทั้งเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายให้โจทก์ในการแลกเงินไปจากโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ไป รวมเป็นจำนวนเงิน 8,413,488 บาท เมื่อจำเลยทั้งสองเอาเช็คของโจทก์ดังกล่าวไปแล้วจำเลยทั้งสองได้นำเอาเช็คบางฉบับดังกล่าวของโจทก์ไปเข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลยทั้งสองเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คไปเป็นประโยชน์ของจำเลยทั้งสอง บางฉบับจำเลยทั้งสองได้โอนโดยการส่งมอบหรือสลักหลังให้ผู้มีชื่อไปเรียกเก็บเงินจากผู้สั่งจ่ายโดยจำเลยทั้งสองได้รับผลประโยชน์ตอบแทน เช็คบางฉบับจำเลยทั้งสองคืนให้แก่ผู้สั่งจ่ายโดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ทำให้โจทก์เสียหายเพราะโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คที่จำเลยทั้งสองเบียดบังเอาไปนั้นได้ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนทรัพย์สินและใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 8,413,488 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า มิได้เบียดบังเอาเช็คและเอกสารต่าง ๆตามฟ้องของโจทก์ไป ความจริงผู้รับมอบอำนาจของโจทก์กับกรรมการของโจทก์บางคนเป็นผู้เบียดบังเอาไปแล้วกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองเอาไป ทั้งนี้เพื่อปกปิดความผิดของตน เช็ครายการตามฟ้องที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบียดบังเอาไปนั้นกรรมการของโจทก์บางคนได้นำไปเรียกเก็บเงินเอง
ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ดังนี้
1. จำเลยทั้งสองร่วมกันเอาเช็คจำนวน 105 ฉบับตามฟ้องของโจทก์ไปหรือไม่และได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินหรือแสวงหาผลประโยชน์เป็นของตนหรือไม่
2. จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดใช้เงินตามฟ้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเช็คและเอกสารต่าง ๆ ตามฟ้องหรือใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 8,413,488 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 8,413,488 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ตรงกับคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ในข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดไว้ด้วยว่าจำเลยทั้งสองนำเช็คไปเรียกเก็บเงินหรือแสวงหาผลประโยชน์เป็นของตนหรือไม่ ทำให้ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะฟังว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสองนำเช็คของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินจากลูกค้าแล้วยักยอกเอาเงินไว้ตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ความเสียหายอันเกิดจากการเอาเช็คไปเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีโดยให้ใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการเอาเช็คไปเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ในข้อ 1 ตอนแรกที่ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเอาเช็คจำนวน 105 ฉบับ ตามฟ้องของโจทก์ไปหรือไม่ และกำหนดไว้ในประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 ที่ว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดใช้เงินตามฟ้องหรือไม่ ย่อมรวมถึงประเด็นเรื่องค่าเสียหายอันเกิดจากการเอาเช็คตามฟ้องของโจทก์ไปด้วยเพราะตามคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คที่จำเลยทั้งสองเบียดบังเอาไป ค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยทั้งสองเอาเช็คของโจทก์ไปจึงมิใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาข้อหายักยอกเช็ค 57 ฉบับ ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ ไม่ได้ครอบครองเช็คตลอดจนเอกสารที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยยักยอก และไม่ได้เอาเช็คไป ถึงแม้คดีอาญานั้นยังไม่ถึงที่สุดก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวนั้น เห็นว่า ถึงแม้คดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับเช็ค 57 ฉบับ ซึ่งโจทก์นำไปฟ้องเป็นคดีอาญาข้อหายักยอกทรัพย์จะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แต่ปรากฏตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าคดีอาญาดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา ซึ่งยังไม่ถึงที่สุดนั้นดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คไป 102 ฉบับ เป็นจำนวนเงิน 7,144,280 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 7,144,280 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 15,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share