คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2545/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะมีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าจำเลยมีสิทธิเช่นนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ข้อสันนิษฐานตามมาตราดังกล่าวย่อมตกไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินหลายแปลง แต่ได้ใส่ชื่อจำเลยไว้ในโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในขณะซื้อเพื่อให้ซื้อได้ในราคาถูก ที่ดินมีโฉนดจำเลยได้โอนมาเป็นชื่อโจทก์แล้ว คงเหลือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์สิบเจ็ดแปลงจำเลยยังไม่โอนคืนให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาททั้งสิบเจ็ดฉบับคืนโจทก์และไปจดทะเบียนเปลี่ยนจากชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า ที่พิพาททั้งสิบเจ็ดแปลงเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาททั้งสิบเจ็ดฉบับเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสิบเจ็ดฉบับแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาททั้งสิบเจ็ดแปลงโดยให้จำเลยมีชื่อถือสิทธิในที่ดินแทน วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาททั้งสิบเจ็ดแปลงมีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองจำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายเป็นคุณแก่จำเลยตามมาตรา ๑๓๗๓แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ทั้งตามทางนำสืบของโจทก์ไม่อาจนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายนี้ได้นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาททั้งสิบเจ็ดแปลงตามที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมา ข้อสันนิษฐานตามมาตราดังกล่าวย่อมตกไป
พิพากษายืน.

Share