คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญาเล่นแชร์ที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์ มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงชื่อไว้ต่อท้ายสัญญาในฐานะผู้ค้ำประกัน ถือเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 วรรคสอง ที่แสดงว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ตกลงค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามพันธะ ข้อสัญญาที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ทำไว้กับโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 อันจะถือเป็นตราสารที่ต้องเสียอากรโดยปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ตามความมุ่งหมายแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 103,104,118 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามมาตรา 680

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จัดให้มีการเล่นแชร์ประเภทรายเดือนขึ้นวงหนึ่ง มีจำเลยที่ 1 และบุคคลอื่นเป็นลูกวงแชร์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการเล่นแชร์ของจำเลยที่ 1 ปรากฏตามสัญญาเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยที่ 1 ประมูลแชร์งวดที่ 3 ได้และได้รับเงินค่าแชร์ไปครบถ้วนแล้ว ต่อมาลูกวงผู้อื่นประมูลแชร์ได้ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินค่างวดแชร์ โจทก์ซึ่งเป็นนายวงต้องชำระค่างวดแชร์แทนจำเลยที่ 1 ไป 15,000 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แล้ว จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยเล่นแชร์กับโจทก์สัญญาตามเอกสารท้ายฟ้องไม่มีผลบังคับและไม่ใช่สัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน23,437 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินจำนวน 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมาสู่การวินิจฉัยในชั้นนี้เฉพาะข้อกฎหมายในปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ซึ่งเห็นว่าแม้จะฟังว่าเอกสารพิพาทหมาย จ.6 เป็นข้อตกลงของสัญญาค้ำประกัน แต่เมื่อปรากฏว่ามิได้ติดอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด ก็จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ คดีโจทก์จึงต้องถือว่าต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องเพราะขาดหลักฐานลงลายมือชื่อของผู้ค้ำประกันมาแสดงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680วรรคสอง นั้น พิเคราะห์แล้ว ปรากฏว่าสัญญาพิพาทตามเอกสารหมาย จ.6เป็นข้อตกลงของสัญญาเล่นแชร์ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำไว้กับโจทก์แต่มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงชื่อไว้ต่อท้ายสัญญาในฐานะผู้ค้ำประกันเห็นว่า ข้อความที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันไว้ในเอกสารดังกล่าว คงถือเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสอง ที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ตกลงค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ตามพันธะ ข้อสัญญาที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ได้ทำไว้กับโจทก์เท่านั้น มิใช่เป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 อันจะถือเป็นตราสารที่ต้องเสียอากรโดยปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ตามความมุ่งหมายแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 103, 104, 118 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานว่าเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ไว้ จึงต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนถ้าไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระหนี้แทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share