คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3668/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาเช่าซื้อระบุว่าหนี้ที่ค้างชำระจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 แก่โจทก์ แต่ค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถนั้นไม่ใช่หนี้ที่ค้างชำระ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามสัญญาดังกล่าวแก่โจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์เปอโยต์ 505 จากโจทก์ 1 คัน ในราคา 596,400 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวด ๆรวม 48 งวด โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ตั้งแต่งวดที่ 15 ติดต่อมาจนบัดนี้ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 380,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 149,100 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 15,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืน หรือชดใช้ราคาให้โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อเปอโยต์รุ่น 505 คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากไม่คืนก็ให้ใช้ราคา 250,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการที่อาจนำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกให้เช่าในอัตราเดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบหรือใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์ แต่ทั้งนี้มีกำหนดไม่เกิน 24 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ต่อมาภายหลังได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 นั้น เห็นว่าค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถนั้น ไม่ใช่หนี้ที่ค้างชำระตามสัญญาข้อ 9 อันจะบังคับให้จำเลยที่ 2 เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 แก่โจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share