แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า 1 แปลงต่อมาโจทก์ได้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ต่อทางราชการ แต่ถูกจำเลยไปคัดค้านอ้างว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นของจำเลยโดยจำเลยมีแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) โจทก์จึงไม่สามารถขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ดังนี้ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทและข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วยไม่จำต้องมาฟ้องหรือร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใดศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้อง โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า 1 แปลงเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ โดยได้รับมรดกมาจากบิดามารดา โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน2533 โจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ต่อทางราชการ แต่ถูกจำเลยไปคัดค้านอ้างว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นของจำเลยโดยจำเลยมีแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) โจทก์จึงไม่สามารถขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกาว่าแม้โจทก์จะไม่ได้ขอให้ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทไว้ในคำขอท้ายฟ้อง และข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โดยที่จำเลยเป็นเพียงผู้ยึดถือแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือเป็นผู้มี ส.ค.1 อย่างเดียวก็ตามศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ให้ชัดว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ให้ชัดลงไปว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ย่อมเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิไว้ในฟ้องแล้วก็ตาม แต่การพิพากษาคดีนั้น ศาลจะต้องพิพากษาตามคำขอของโจทก์เมื่อคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้ศาลขจัดข้อที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ คือมิได้ขอให้ห้ามมิให้จำเลยขัดขวางการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือมิได้ขอให้ห้ามจำเลยไม่ให้เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท เพียงแต่ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วย ไม่จำต้องมาฟ้องหรือร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด กรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทอีก และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ก็ไม่มีคำขอของโจทก์ที่จะให้ศาลบังคับจำเลยเพื่อขจัดข้อที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน