แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นแต่เพียงผู้เสียหาย มิได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโจทก์ ดังนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงไม่ผูกพันจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขับรถยนต์หมายเลข ก.ท.พ. 15533 โดยความประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์เลขทะเบียน ก.ท.ณ. 0185 ซึ่งนายสมยศขับสวนทางมามีนายนาวิน ค้าแหวน กับนายดารา สุภาวิทย์ นั่งมาด้วยโดยแรง เป็นเหตุให้นายดารา สุภาวิทย์ ถึงแก่ความตาย พนักงานอัยการได้ฟ้องนายสมยศต่อศาลอาญาฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลอาญาพิพากษาว่า นายสมยศมิได้กระทำผิดตามฟ้องพิพากษายกฟ้อง การขับรถโดยประมาทของจำเลยเป็นการละเมิดต่อนายดารา สุภาวิทย์ บุตรโจทก์ โจทก์ผู้เป็นมารดาและทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายของนายดาราได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิดในมูลละเมิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ คือ ค่าใช้จ่ายทำศพ 4,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 200 บาท โจทก์คิดค่าเสียหายเพียง 10 ปี ปีละ 2,400 บาทเป็นเงิน 24,000 บาท รวมค่าเสียหาย 28,000 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 28,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ7 ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้เสียค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่รถชนกันนั้นไม่ใช่ความผิดของจำเลย นายดาราบุตรโจทก์ถึงแก่ความตายเพราะความประมาทของนายสมยศ ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องคดีนายสมยศนั้นจะถือว่า จำเลยเป็นฝ่ายละเมิดไม่ได้โจทก์มิได้อยู่ในความอุปการะของผู้ตาย แม้ผู้ตายจะเคยช่วยเหลือโจทก์ก็ไม่ถึงเดือนละ 200 บาท เงินค่าทำศพเรียกมากเกินสมควร โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย โจทก์มิได้เสียหาย และไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทำศพ 4,000 บาทกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิด ส่วนค่าอุปการะเห็นสมควรให้จำเลยชดใช้ให้โจทก์เดือนละ 100 บาท เป็นเวลา 5 ปี รวมเป็นเงิน6,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปให้ใช้ค่าทนายความ 500 บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงิน 6,000 บาท นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าทนายความ 200 บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยแพ้คดีในประเด็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทโดยยกมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาขึ้นวินิจฉัยว่าคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวใช้ยันจำเลยได้นั้นเป็นการมิชอบ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว และข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า ประเด็นข้อแรกที่ว่า คำพิพากษาในคดีอาญาใช้ยันจำเลยได้หรือไม่นั้น ได้พิเคราะห์แล้ว ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1358/2510 ของศาลอาญาซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องนายสมยศ สาราจิตต์ เป็นจำเลยในข้อหาฐานขับรถยนต์โดยประมาทขนรถอื่นเป็นเหตุให้นายดารา สุภาวิทย์ ถึงแก่ความตาย ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้วนั้น นายพันธ์ ไชยนันท์ จำเลยในคดีนี้เป็นเพียงผู้เสียหาย มิได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโจทก์ ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำพิพากษาในคดีอาญาจึงใช้ยันจำเลยนี้ได้ตามมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และข้อเท็จจริงในคดีอาญามีผลผูกพันจำเลยในคดีแพ่งนี้ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะจำเลยในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวนั้นด้วยฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำละเมิดนั้นเห็นว่า ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 300 บาทแทนโจทก์ด้วย