แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในการฟ้องเรียกให้จำเลยที่1ชำระเบี้ยประกันภัยที่จะต้องส่งมอบแก่โจทก์ตามสัญญาตัวแทนและให้จำเลยที่2ร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันนั้นโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่ารถยนต์ที่รับประกันภัยแต่ละคันราคาเท่าใดจำนวนเบี้ยประกันภัยแต่ละคันเป็นเงินเท่าใดเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์ต้องนำสืบในชั้นพิจารณาไม่ทำให้ฟ้องเคลือบคลุม คดีแรกโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คที่จำเลยที่1สั่งจ่ายมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยที่จำเลยที่1เก็บมาจากลูกค้าของโจทก์เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยที่1ใช้เงินตามเช็คส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นตัวแทนเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยจากลูกค้าของโจทก์แล้วไม่นำส่งให้โจทก์เป็นการฟ้องว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาตัวแทนไม่นำส่งเบี้ยประกันภัยที่เรียกเก็บจากลูกค้าให้โจทก์สภาพแห่งข้อหาของทั้งสองคดีต่างกันแม้มูลหนี้จะสืบเนื่องมาจากเบี้ยประกันภัยเช่นเดียวกันก็ตามฟ้องโจทก์คดีนี้ก็ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบต้นฉบับเอกสารต้องห้ามมิให้รับฟังจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยค้างส่งเบี้ยประกันภัยนั้นในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้ค้างส่งเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์ตามฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ข้อนี้จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ประเด็นข้อนี้จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยไม่มีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 754,284 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ต่อสู้ คดี ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน635,346.60 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ทั้งนี้จำนวนดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง (วันที่ 22 กรกฎาคม 2534)ต้องไม่เกิน 95,515 บาท ตามที่โจทก์ขอมาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดด้วยในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 2 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ได้ติดต่อหาลูกค้านำรถยนต์มาเอาประกันภัยกับโจทก์รวม 59 คันจำเลยที่ 1 เก็บเบี้ยประกันภัยจากลูกค้าครบถ้วน เมื่อหักค่านายหน้าที่จำเลยที่ 1 ได้รับแล้วจะต้องส่งเบี้ยประกันภัยให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตัวแทนไม่นำเงินเบี้ยประกันภัยส่งให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน 658,769 บาท พร้อมดอกเบี้ยเห็นว่า ฟ้องดังกล่าวเรียกให้ชำระหนี้เบี้ยประกันภัยที่จำเลยที่ 1 จะต้องส่งมอบให้โจทก์ตามสัญญาตัวแทนและให้จำเลยที่ 2ร่วมรับผิดตามสัญญาค้ำประกันซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาได้ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์ไม่บรรยายว่ารถยนต์แต่ละคันราคาเท่าใด จำนวนเบี้ยประกันภัยแต่ละคันเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์ต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ดังนั้น ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว จึงเป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสองต่อไปว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่590/2534 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีหมายเลขดำที่ 590/2534 ของศาลชั้นต้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยที่จำเลยที่ 1 เก็บมาจากลูกค้าของโจทก์ เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับให้แก่โจทก์ ประเด็นมีว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คต่อโจทก์หรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1เป็นตัวแทนเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยจากลูกค้าของโจทก์แล้วไม่นำส่งให้โจทก์ เป็นกรณีฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตัวแทนไม่นำส่งเบี้ยประกันภัยที่เรียกเก็บจากลูกค้าให้โจทก์ประเด็นมีว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตัวแทนค้างส่งเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์หรือไม่ ดังนั้น สิทธิในการฟ้องมีสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีจึงต่างกัน แม้มูลหนี้จะสืบเนื่องมาจากเบี้ยประกันภัยเช่นเดียวกันก็ตาม ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตา 173(1)
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อสุดท้ายว่า เอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.64 โจทก์ไม่ได้นำสืบต้นฉบับต่อศาลต้องห้ามมิให้รับฟัง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ค้างส่งเบี้ยประกันภัยนั้น ในประเด็นนี้ข้อนี้จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ค้างส่งเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์ตามฟ้อง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาไม่รับอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ คดีในประเด็นข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน