คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3647/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบรรยายฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
เมื่อถนนพิพาทที่โจทก์ทั้งสองสร้างในที่ดินของผู้อื่นตกอยู่ในภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์โดยมีโจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับประโยชน์เท่านั้น โจทก์ทั้งสองจึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในถนนดังกล่าว และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยมิให้ใช้ถนนพิพาท ส่วนการที่โจทก์ที่ 2 ได้ซื้อที่ดินที่สร้างถนนพิพาทส่วนที่ติดถนนใหญ่มาในภายหลังนั้น เมื่อปรากฏว่าถนนพิพาทดังกล่าวได้มีประชาชนใช้เดินผ่านสู่ถนนใหญ่ตั้งแต่เริ่มสร้างมาจนถึงเวลาที่ซื้อเกินกว่าสิบปีโดยเจ้าของที่ดินไม่หวงห้าม อันทำให้ฟังได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินส่วนที่เป็นถนนพิพาทดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะประโยชน์โดยปริยายแล้วโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิจะยึดถือเอาถนนพิพาทเป็นของตนและไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องจำเลยมิให้ใช้ถนนพิพาทดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2049, 2051, 2052, 7626 และ 3635 ตำบลบางขุนศรี อำเภอบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ซึ่งติดต่อเป็นที่ดินผืนเดียวกัน เมื่อ พ.ศ. 2506 เจ้าของที่ดินโฉนดที่ 2998, 2203, 2518 และ 2191 ตำบลบางขุนศรี อำเภอบางกอกน้อยได้ทำสัญญายอมให้โจทก์ที่ 1 สร้างถนนผ่านที่ดินของตนออกสู่ถนนใหญ่และจดทะเบียนเป็นภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ โดยให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับประโยชน์ต่อมาเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 2191 ได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 โฉนด คือ โฉนดที่ 16010และ 16011 แล้วขายให้โจทก์ที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2524 โจทก์ได้สงวนสิทธิถนนดังกล่าวเป็นถนนส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองและบุคคลที่โจทก์ทั้งสองอนุญาตให้ใช้เท่านั้น เมื่อประมาณวันที่ 7 พฤษภาคม 2524 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันบุกรุกโดยว่าจ้างและใช้รถบรรทุกขนรถแทรกเตอร์ หิน ทราย ผ่านถนนดังกล่าวโดยไม่ได้ขออนุญาตและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสอง ทำให้ถนนดังกล่าวชำรุดเสียหาย เสียค่าใช้จ่ายในการซ่อม 150,000 บาท ขอให้ห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่และบริวารบุกรุกและใช้รถบรรทุกขนทราย หิน และวัสดุอื่น ๆ ผ่านถนนดังกล่าวของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายจำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยไม่ทราบและไม่รับรองว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินและทำถนนพิพาท กับได้รับอนุญาตจาก ช.เจ้าของที่ดินโฉนดที่ 2998 ให้ทำถนนผ่านที่ดินของตนหรือไม่ อย่างไรก็ดีสัญญาดังกล่าวเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เมื่อไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สัญญาดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่มีผลผูกพันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เมื่อ พ.ศ. 2508 ช. ขายที่ดินโฉนดที่ 2998 ให้แก่ อ. กับพวกซึ่งได้ใช้ถนนพิพาทออกสู่ถนนใหญ่เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2524จำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 2998 และที่ดินติดกันอีก 4 แปลง จำเลยที่ 1 จึงย่อมได้สิทธิการใช้ถนนพิพาทออกสู่ถนนใหญ่ด้วย ถนนพิพาทจึงเป็นถนนสาธารณะซึ่งจำเลยมีสิทธิใช้สอยตามปกติ โจทก์มีเพียงสิทธิการใช้ประโยชน์ แต่ไม่มีสิทธิห้ามบุคคลอื่นใช้ประโยชน์ได้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ร่วมทำละเมิดต่อโจทก์ค่าซ่อมถนนของโจทก์ทั้งสองไม่เกิน 10,000 บาท และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยไม่มีสิทธิใช้ถนนพิพาท จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดด้วย และกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 120,000 บาท พิพากษาห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารใช้รถบรรทุกขนหิน ทราย และวัสดุอื่น ๆ ผ่านถนนพิพาท และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าที่ดินของโจทก์ที่ 2 และที่ดินที่สร้างเป็นถนนพิพาทมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไรและการสร้างถนนพิพาทผ่านเข้าออกสู่ที่ดินโจทก์ในตำแหน่งใดอันจะก่อให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องคดีนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันสร้างถนนพิพาทผ่านที่ดินผู้มีชื่อเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินโจทก์ที่ 2 และถนนใหญ่ โจทก์ที่ 1 กับผู้มีชื่อได้จดทะเบียนภาระติดพันในที่ดินที่โจทก์ที่ 1 ทำถนนผ่านและสงวนสิทธิเป็นถนนส่วนบุคคลไว้เพื่อประโยชน์ของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองเป็นผู้อยู่ในฐานะเจ้าของผู้ทรงสิทธิถนนรายนี้ตลอดมา ต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้นำรถยนต์บรรทุกหกล้อและสิบล้อบรรทุกรถแทรกเตอร์ บรรทุกหินและทรายผ่านถนนพิพาทบริเวณเส้นสีแดง ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสอง ทำให้ถนนพิพาทชำรุดเสียหาย จึงขอให้ห้ามจำเลยทั้งสี่นำรถบรรทุกสิ่งของดังกล่าวผ่านถนนพิพาท และให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายในการทำถนนชำรุดแก่โจทก์ทั้งสอง ฟ้องของโจทก์ดังกล่าว จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

มีปัญหาต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้เพียงว่าถนนพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเอกสารหมาย จ.20และตามแผนที่จำเลยเอกสารหมาย ล.1 เป็นที่ดินของ ช,และผู้มีชื่ออีก 3 คนซึ่งตกอยู่ในภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ โดยมีโจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับประโยชน์เท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้มีสิทธิครอบครองถนนพิพาทโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยมิให้ใช้ถนนพิพาท ส่วนปัญหาที่ว่าเมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ซื้อที่ดินส่วนที่เป็นถนนปากถนนพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2524 แล้ว โจทก์ที่ 2 จะมีอำนาจหวงห้ามมิให้บุคคลใดผ่านถนนพิพาทส่วนนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ที่ 2 ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่า เจ้าของที่ดินได้ประกาศหรือแสดงการหวงห้ามว่าถนนพิพาทเป็นถนนส่วนบุคคลและกลับปรากฏจากพยานจำเลยให้รับฟังได้ว่า ถนนพิพาทได้มีประชาชนใช้เดินผ่านสู่ถนนใหญ่ตั้งแต่เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2506 ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีโดยเจ้าของที่ดินไม่หวงห้ามโต้แย้งกรณีดังกล่าวจึงฟังได้ว่าถนนพิพาทดังกล่าวเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินส่วนที่เป็นถนนพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย โจทก์ที่ 2 ผู้ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นถนนพิพาท โดยรู้ว่ามีประชาชนภายในถนนพิพาทใช้เป็นทางเดินมาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี แต่ก็ยังซื้อมาเพื่อเป็นข้ออ้างกรรมสิทธิ์เรียกเก็บทรัพย์จากผู้ใช้ถนนบางคนบางรายจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาถนนพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองได้ โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องห้ามจำเลยมิให้ใช้ถนนพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share