คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือจำเลยบังอาจร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ และจำเลยบังอาจร่วมกันขายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงตามฟ้องทุกประการ โจทก์นำพยานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่า นอกจากเฮโรอีนของกลางบรรจุซองพลาสติกซึ่งพลตำรวจ จ. ปลอมตัวไปซื้อแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยังค้นได้ธนบัตร ฉบับละ 10 บาท 2 ฉบับใช้ห่อเฮโรอีนไว้ 2 ห่อจากจำเลยอีก ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2514 ข้อ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวม ๔๘,๘๘๑ บาทให้โจทก์ และให้ชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน ๓๙,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เป็นหนี้ตามสัญญากู้และไม่เคยได้รับเงิน ๓๙,๐๐๐ บาทจากโจทก์ และไม่รับรองลายมือชื่อซึ่งปรากฏในสำเนาสัญญากู้เงินท้ายฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จริง ให้จำเลยใช้เงิน ๓๙,๐๐๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และได้ยื่นฎีกาหลังจากพระราชบัญญํติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ ใช้บังคับแล้ว การพิจารณาว่าจำเลยจะฎีกาได้หรือไม่ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่ยื่นฎีกา คดีนี้มีทุนทรัพย์ ๔๘,๘๘๑ บาท จำเลยจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๔๘ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๖
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share