แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
น. ให้จำเลยจัดการทรัพย์สิน มอบโฉนดให้ ต่อมาได้ถอนอำนาจ จำเลยไม่คืนโฉนด แต่ร้องขอต่อศาลให้แสดงกรรมสิทธิ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เป็นแต่จำเลยแสดงว่าประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ยังไม่เป็นการเบียดบังเอาเป็นของตน ยังไม่เป็นความผิดฐานยักยอกโฉนด
น. ถอนจำเลยจากผู้จัดการทรัพย์สิน จำเลยมีหน้าที่คืนโฉนด ไม่มีหน้าที่จัดการต่อไปแล้ว จึงไม่ใช่ผู้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์ การไม่คืนโฉนดไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 353
ผู้จัดการมรดกฟ้องว่าจำเลยยักยอกโฉนดของเจ้ามรดกระหว่างที่ศาลตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว โจทก์เป็นผู้เสียหายฟ้องตาม มาตรา 352 ได้
ศาลสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลให้ครบในคำขอให้คืนโฉนดก่อนมีคำพิพากษา ศาลสั่งได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา18
จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ศาลไม่รับเพราะอุทธรณ์เกิน 15 วันเมื่อโจทก์ยังฎีกาให้ลงโทษจำเลย จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องอีกได้ แม้ถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์เพราะเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่เมื่อศาลฎีกายกฟ้องโจทก์อยู่แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยในข้อนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ข้อ 1. นายแนบ พหลโยธิน ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22พฤศจิกายน 2514 โจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายแนบตามคำสั่งศาลแพ่ง
ข้อ 2. เมื่อนายแนบมีชีวิตอยู่ เคยมอบอำนาจให้จำเลยซึ่งมีอาชีพเป็นทนายความอันเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนให้จัดการทรัพย์สินหลายแห่งรวมทั้งให้เป็นตัวแทนทำนิติกรรมและเก็บผลประโยชน์ในที่ดินบางแห่งด้วยต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2514 นายแนบได้ถอนอำนาจที่ได้มอบหมายแก่จำเลยทั้งสิ้นและแจ้งให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สิน บัญชี และเอกสารต่าง ๆเมื่อโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์และทนายความก็ได้เรียกร้องทรัพย์สินและเอกสารตลอดมาจำเลยได้มอบโฉนดคืนเฉพาะแต่ที่ดินเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานครเท่านั้น ส่วนเอกสารได้ส่งให้แต่สำเนาบางฉบับ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2515 โจทก์ทราบว่าเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2515จำเลยได้ไปยื่นคำร้องที่ศาลจังหวัดราชบุรีอ้างว่านายแนบได้ยกที่ดินโฉนดที่ 14486 ให้แก่จำเลยเมื่อ 15 ปีกว่ามาแล้ว จำเลยได้ครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ให้ที่ดินตกได้แก่จำเลย ความจริงนายแนบไม่เคยยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย เป็นแต่เมื่อ พ.ศ. 2511 ได้มอบโฉนดนี้ให้จำเลยเป็นตัวแทนไปทำสัญญาและจดทะเบียนการเช่าที่ดินบางส่วนให้แก่บุคคลอื่น จำเลยไม่ได้ครอบครองปรปักษ์ โจทก์ได้คัดค้านต่อศาลจังหวัดราชบุรี จำเลยจึงขอถอนคำร้อง แต่ไม่ยอมคืนโฉนดให้โจทก์
ข้อ 3. การกระทำของจำเลยในฐานะทนายความซึ่งเป็นอาชีพที่ไว้วางใจของประชาชนดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาทุจริต เบียดบังเอาโฉนดที่ 14486 อันเป็นทรัพย์ของนายแนบที่มอบให้จำเลยไปจัดการทำนิติกรรมดังกล่าวมาแล้ว เพื่อเอาเป็นของจำเลยโดยทุจริต ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์หรือทายาทของนายแนบ เป็นการกระทำผิดโดยบริบูรณ์แล้วตั้งแต่ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม 2514 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2515 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน โจทก์เพิ่งทราบเจตนาทุจริตของจำเลยเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2515
ข้อ 4. ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2515 เวลากลางวัน จำเลยในฐานะดังกล่าวข้างต้นยังมีเจตนาทุจริตกระทำผิดกฎหมาย บังอาจแอบลอบไปยื่นคำร้องขอต่อศาลจังหวัดราชบุรี ขอให้สั่งแสดงว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้แล้วโดยอาศัยการยึดถือโฉนดไว้ไม่คืนให้นั้น อันเป็นการเสียหายแก่กองมรดกเสียทรัพย์สินไป หากแต่โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านได้ทัน การกระทำของจำเลยจึงไม่บรรลุผลได้ซึ่งกรรมสิทธิ์ แต่ถึงกระนั้นกองมรดกก็เสียหายแล้วที่ผู้จัดการมรดกต้องคัดค้านต่อศาล ต้องเสียเงินกองมรดกในการนี้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 354, 80 และให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 14486 ให้แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกด้วย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยยังไม่พอฟังว่าเป็นการทุจริตเบียดบังเอาโฉนดไว้ พิพากษายกฟ้อง แต่ให้คืนโฉนดตามฟ้องแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ประกอบด้วยมาตรา 354 โดยที่ประชุมใหญ่แล้วมีมติว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานยักยอกระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม 2514 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2515 และโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายแนบซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2514 แสดงว่าจำเลยได้กระทำความผิดระหว่างที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายแนบอยู่ด้วย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกนี้
โดยที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบด้วยมาตรา 354 ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีไปเสียทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายแนบมิได้ยกที่ดินโฉนดพิพาทให้จำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดโฉนดพิพาทไว้ ต้องคืนให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาต่อไปว่า การที่จำเลยได้รับโฉนดพิพาทจากนายแนบไว้ในฐานะผู้จัดการทรัพย์สินของนายแนบ และเมื่อนายแนบเพิกถอนการมอบอำนาจที่ให้จัดการทรัพย์สินแล้ว จำเลยก็ยังไม่คืนให้ ทั้ง ๆ ที่นายแนบและโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายแนบได้ทวงถาม นอกจากนี้จำเลยยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทอีกด้วย เช่นนี้ จะเป็นความผิดฐานยักยอกโฉนดพิพาทหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความเพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้เบียดบังเอาโฉนดพิพาทเป็นของตนโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานยักยอก ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 253/2488 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม โจทก์ นางเจือ เสมสวัสดิ์ จำเลย ส่วนการที่จำเลยไปร้องขอต่อศาลให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทนั้น ก็เป็นเรื่องที่จำเลยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเท่านั้น พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเบียดบังเอาตัวโฉนดที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นของตนโดยทุจริตด้วย การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมาจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานยักยอกโฉนดพิพาท
สำหรับฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353ประกอบด้วยมาตรา 354 นั้น โจทก์อ้างในคำฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดในวันที่31 พฤษภาคม 2515 ซึ่งเป็นวันเวลาหลังจากที่นายแนบได้ถอนอำนาจที่มอบให้แก่จำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์สินแล้ว ฉะนั้น ในวันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำผิด จำเลยจึงมิใช่ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของนายแนบกรณีไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 353 และ 354 ที่จะลงโทษจำเลยได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า แม้นายแนบถอนอำนาจที่มอบให้จำเลยจัดการแล้ว แต่จำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องมอบทรัพย์สินคืนให้แก่ตัวการหรือทายาทของตัวการอยู่นั้นก็เป็นเรื่องที่จำเลยมีหน้าที่ต้องมอบทรัพย์สินคืนเท่านั้น ไม่มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของนายแนบอยู่ในวันเวลาที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 353
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องขอคืนโฉนดโดยมิได้เสียค่าธรรมเนียมศาล ศาลควรยกคำขอเสีย ไม่ควรสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมศาลก่อนที่จะพิพากษานั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ที่จะตรวจคำคู่ความใด ๆ ที่ยื่นไว้ต่อศาลว่าปิดแสตมป์บริบูรณ์หรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ยังมิได้เสียค่าธรรมเนียมศาลสำหรับคำฟ้องในส่วนแพ่งให้บริบูรณ์ ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจสั่งให้เสียค่าธรรมเนียมศาล คือให้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ได้ และมาตรา 18 นี้ก็มิได้บัญญัติว่าจะต้องสั่งเมื่อใด ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นตรวจพบก่อนมีคำพิพากษา จึงชอบจะสั่งให้โจทก์จัดการเสียค่าธรรมเนียมศาลให้บริบูรณ์ก่อนมีคำพิพากษาได้
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบด้วยมาตรา 354 นั้น จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านไว้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ เพราะจำเลยยื่นอุทธรณ์เกินกำหนด ปัญหานี้จึงถือว่ามิได้ยกขึ้นมาว่าในศาลอุทธรณ์ แต่เนื่องจากปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากศาลฎีกาได้วินิจฉัยฎีกาของโจทก์แล้วว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 และมาตรา 354ฉะนั้นจึงไม่มีประโยชน์อย่างใดที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยฎีกานี้อีกจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน