แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เข้าทำสัญญา รับจ้างก่อสร้างเขื่อนกับจำเลยเพราะกลฉ้อฉลของจำเลย ที่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบถึงสภาพและอุปสรรคในการก่อสร้าง เพื่อจูงใจให้โจทก์ยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่า ที่โจทก์จะยอมรับได้โดยปกติทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ค่าสินไหมทดแทน ที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยก็คิดจากค่าจ้างงวดสุดท้าย ที่โจทก์ควรได้รับจากจำเลยตามสัญญาดังกล่าว โดยโจทก์ ได้บรรยายฟ้องถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเป็นอุปสรรค ในการก่อสร้างที่ทำให้เกิดความล่าช้าโดยความผิดของจำเลย และเมื่อโจทก์ทำงานแล้วเสร็จส่งมอบงาน แก่จำเลยแล้ว จำเลยคิดค่าปรับรายวันเป็นจำนวนมาก จนเกินกว่าค่าจ้างงวดสุดท้ายที่โจทก์ควรจะได้รับจากจำเลย จำเลยจึงไม่ชำระค่าจ้างงวดสุดท้ายให้โจทก์ และโจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์พอแสดงให้เข้าใจได้ว่าโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยชำระค่าจ้างดังกล่าวเนื่องจากการคิดค่าปรับของจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบ และจำเลยก็ให้การ ถึงการคิดค่าปรับดังกล่าวว่าจำเลยได้คิดค่าปรับโดยถูกต้องแล้ว และที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีสิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยหรือไม่ จึงครอบคลุมถึง กรณีการคิดค่าปรับหักจากค่าจ้างงวดสุดท้ายแล้ว และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ก็บัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับลงได้ หากเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินสมควรการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยถึงการคิดค่าปรับอันเป็นเบี้ยปรับของโจทก์ว่าสูงเกินไปและคิดลดลงเหลือต่ำกว่าค่าจ้างงวดสุดท้าย จึงมีค่าจ้างงวดสุดท้ายคงเหลือที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างงวดสุดท้ายดังกล่าวแก่โจทก์ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาว่าจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยมีผลสมบูรณ์ แต่ที่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้โจทก์เพราะคิดค่าปรับการทำงานล่าช้าสูงเกินส่วน จึงลดค่าปรับลงและเมื่อหักจากค่าจ้างแล้วยังเหลือค่าจ้าง ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ จึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหา ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็นไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนเงิน ค่าปรับว่าลดลงมากน้อยไปหรือไม่ และไม่มีปัญหาในชั้นฎีกา ต้องวินิจฉัยในเรื่องจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องรับผิด ต่อโจทก์อีก ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2535 จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กบริเวณคลองพระโขนงจากบริเวณประตูระบายน้ำถึงบริเวณทางรถไฟสายเก่าสายปากน้ำ โดยโจทก์เป็นผู้จัดหาสัมภาระทั้งหมดในราคา 29,300,000 บาท กำหนดแล้วเสร็จภายใน 270 วัน คือวันที่ 22 ตุลาคม 2535 หากล่าช้าถูกปรับวันละ29,300 บาท จนกว่างานจะแล้วเสร็จ ขณะก่อสร้างมีอุปสรรคหลายประการเช่น แนวบ้านประชาชนปลูกรุกล้ำคลองพระโขนงตลอดแนว มีการก่อสร้างสะพานข้างคลองมีประกาศของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2535 ทำให้โจทก์ไม่สามารถขนย้ายและลำเลียงวัสดุก่อสร้างได้โดยสะดวกและก่อนการทำสัญญาจำเลยไม่เคยแจ้งให้โจทก์ทราบถึงอุปสรรคดังกล่าวซึ่งหากโจทก์รู้ก่อนจะไม่เข้าทำสัญญากับจำเลยเพราะค่าจ้างต่ำไปและกำหนดระยะเวลาทำงานน้อยเกินไป ค่าปรับสูงเกินไป จำเลยให้คำมั่นสัญญาว่าจะขยายเวลาทำงานให้โจทก์ วันที่ 21 ตุลาคม 2535โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยขอขยายระยะเวลาและต่อสัญญาออกไปอีก 180 วันแต่จำเลยต่ออายุสัญญาให้เพียง 26 วัน ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2536โจทก์มีหนังสือขออุทธรณ์การต่ออายุสัญญาต่อจำเลย ต่อมาโจทก์ทำงานเสร็จมีหนังสือลงวันที่ 28 มกราคม 2537 ขอส่งมอบงานและขอรับค่าจ้างที่เหลือ 14,514,000 บาท แต่จำเลยยกอุทธรณ์ของโจทก์และคิดค่าปรับการทำงานล่าช้าสูงกว่าค่าจ้างดังกล่าวจึงไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงฉ้อฉลโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย จึงต้องชำระค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากกลฉ้อฉลให้แก่โจทก์เท่ากับสินจ้างงวดสุดท้าย ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 14,514,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ฉ้อฉลโจทก์ให้เข้าทำสัญญาการก่อสร้างสะพานข้ามคลองไม่เป็นอุปสรรคในการก่อสร้างของโจทก์เพราะการก่อสร้างแต่ละจุดของงานสามารถแบ่งแยกออกจากกันได้ไม่จำต้องสร้างพร้อมกัน การก่อสร้างล่าช้าเป็นเพราะความผิดของโจทก์เอง จำเลยไม่เคยตกลงให้คำมั่นสัญญาจะขยายเวลาทำงานให้โจทก์ตามที่โจทก์อ้าง และการที่จำเลยขยายระยะเวลาก่อสร้างให้โจทก์ 26 วัน ก็เป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว โจทก์ก่อสร้างงานล่าช้าเป็นเวลา 444 วัน เป็นเพราะโจทก์ไม่พร้อมในการดำเนินการก่อสร้างเองจึงต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน 13,009,200 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยมิได้เกิดจากกลฉ้อฉลของจำเลย จึงมีผลสมบูรณ์ แต่ที่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้โจทก์เพราะคิดค่าปรับการทำงานล่าช้าสูงเกินส่วน จึงลดค่าปรับลงและเมื่อหักจากค่าจ้างแล้วยังเหลือค่าจ้างที่ต้องชำระแก่โจทก์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,113,260 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยลดค่าปรับเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในเรื่องค่าสินไหมทดแทนโดยลดค่าปรับให้โจทก์เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เข้าทำสัญญารับจ้างก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กบริเวณคลองพระโขนงกับจำเลยเพราะกลฉ้อฉลของจำเลยที่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบถึงสภาพและอุปสรรคในการก่อสร้างเพื่อจูงใจให้โจทก์ยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่โจทก์จะยอมรับได้โดยปกติ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยก็คิดจากค่าจ้างงวดสุดท้ายที่โจทก์ควรได้รับจากจำเลยตามสัญญาดังกล่าว โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเป็นอุปสรรค์ในการก่อสร้างที่ทำให้เกิดความล่าช้าโดยความผิดของจำเลย โจทก์ขอให้จำเลยขยายกำหนดเวลาก่อสร้างให้ 180 วัน แต่จำเลยขยายเวลาให้เพียง26 วัน และเมื่อโจทก์ทำงานแล้วเสร็จส่งมอบงานแก่จำเลยแล้วจำเลยคิดค่าปรับรายวันเป็นจำนวนมากจนเกินกว่าค่าจ้างงวดสุดท้ายที่โจทก์ควรจะได้รับจากจำเลย จำเลยจึงไม่ชำระค่าจ้างงวดสุดท้ายให้โจทก์จำนวน 14,514,000 บาท และโจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวพอแสดงให้เข้าใจได้ว่า โจทก์ประสงค์จะให้จำเลยชำระค่าจ้างดังกล่าวเนื่องจากการคิดค่าปรับของจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบ และจำเลยก็ให้การถึงการคิดค่าปรับดังกล่าวว่าจำเลยได้คิดค่าปรับโดยถูกต้องแล้ว ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยหรือไม่ เมื่อพิจารณาประกอบคำฟ้องและคำให้การตามที่วินิจฉัยมาดังกล่าวแล้ว ก็ถือว่าครอบคลุมถึงกรณีการคิดค่าปรับหักจากค่าจ้างงวดสุดท้าย และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ก็บัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับลงได้ หากเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินสมควรดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยถึงการคิดค่าปรับอันเป็นเบี้ยปรับของโจทก์ว่าสูงเกินไป และคิดลดลงเหลือต่ำกว่าค่าจ้างงวดสุดท้ายจึงมีค่าจ้างงวดสุดท้ายคงเหลือที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างงวดสุดท้ายดังกล่าวแก่โจทก์ จึงหาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ และชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนเงินค่าปรับว่าลดลงมากน้อยไปหรือไม่ และไม่มีปัญหาในชั้นฎีกาต้องวินิจฉัยในเรื่องจำนวนเงินอีก
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น