คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มูลคดีเดียวกันนี้ โจทก์เคยฟ้องและศาลได้พิพากษาขับไล่จำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่ความตามป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคแรก เมื่อศาลในคดีก่อนฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 โดยรับซื้อฝากจาก อ.แต่ อ. ไม่ได้ไถ่ภายในเวลาที่กำหนด ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ ภายหลังจำเลยได้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ และจำเลยเอาที่ดินของโจทก์ดังกล่าวไปขอออกโฉนดซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิ การขอออกโฉนดที่ดินของจำเลยจึงไม่ชอบ ดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนโฉนดดังกล่าวของจำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 98 ซึ่งโจทก์ได้รับซื้อฝากมาจากนายอ้น สามีจำเลย จำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินเฉพาะรายทับที่ดินดังกล่าวของโจทก์ เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 11786 โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินดังกล่าวและศาลได้มีคำพิพากษาให้ขับไล่จำเลย คดีถึงที่สุดตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่442/2529 ของศาลชั้นต้น ขอให้พิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 11786 เล่ม 118 หน้า 86 หน้าสำรวจ 34 เนื้อที่ 5 ไร่81 7/10 ตารางวา ตำบลเทพนคร (คณฑี) อำเภอเมืองกำแพงเพชรจังหวัดกำแพงเพชร
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 11786 เล่ม 118หน้า 86 หน้าสำรวจ 34 เนื้อที่ 5 ไร่ 81 7/10 ตารางวา ตำบลเทพนคร (คณฑี) อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 11786 หมู่ที่ 4 ตำบลเทพนคร(คณฑี) อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ของจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 98 เล่ม 13(3) หมู่ที่ 8 ตำบลเทพนคร (คณฑี) อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ของโจทก์หรือไม่ โจทก์ได้อ้างสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 442/2529 ของศาลชั้นต้นและถึงที่สุดแล้วเป็นพยาน ซึ่งโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีนี้โดยคดีก่อนดังกล่าวเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่ ซึ่งศาลได้วินิจฉัยว่าโจทก์รับซื้อฝากที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 98ไว้ตามฟ้องและไม่มีการไถ่ถอนจากผู้ขายฝาก ที่จำเลยให้การว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11786 นั้น โจทก์มีตัวโจทก์นายพิทักษ์ มีภักดี และนายสัญญาลักษณ์ กาญจนะโกมล เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.13 ว่าตรวจสอบแล้วที่ดินโฉนดเลขที่ 11786 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 98 โฉนดที่ดินเลขที่ 11786 จำเลยได้มาโดยนำเอาที่ดินน.ส.3 เลขที่ 98 ไปขอออกโฉนดที่ดินโดยในขณะที่จำเลยไปยื่นเรื่องราวขอออกโฉนดนั้น นายอ้น จันหม้อ สามีจำเลยได้ขายฝากที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์แล้ว จำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบหักล้างฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11786 เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 98 ที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและภายหลังจำเลยได้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ เห็นว่า มูลคดีเดียวกันนี้โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและศาลได้พิพากษาขับไล่จำเลยตามคดีหมายเลขแดงที่ 442/2529 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก เมื่อได้ความว่าศาลในคดีก่อนดังกล่าวฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 98 โดยรับซื้อฝากจากนายอ้น วันหม้อสามีจำเลย แต่นายอ้นไม่ได้ไถ่ภายในเวลาที่กำหนดที่ดินพิพาทจึงตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ ภายหลังจำเลยได้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์และจำเลยเอาที่ดินของโจทก์ดังกล่าวไปขอออกโฉนดเลขที่ 11786ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิ การขอออกโฉนดที่ดินของจำเลยจึงไม่ชอบโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดดังกล่าวของจำเลยได้ และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีการายละเอียดของจำเลยซึ่งไม่เป็นประโยชน์และไม่อาจทำให้จำเลยชนะคดีได้อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share