คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3618/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก.ยกที่ดินโฉนดตราจองให้โจทก์และจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง แต่ทำสัญญาจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินทั้งโฉนดต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1 มีกรณีพิพาทแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนของโจทก์ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็รู้เห็น แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังทำสัญญาซื้อขายรับโอนโฉนดตราจองดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริตเมื่อโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองและยกเป็นข้อต่อสู้จำเลยทั้งสองได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายได้ตามมาตรา 1300

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ก. พี่ชายโจทก์และจำเลยยกที่ดินโฉนดตราจองหนึ่งแปลงให้แก่โจทก์และจำเลยที่ ๑ คนละครึ่ง แต่ได้จดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ คนเดียวไว้ในโฉนดตราจองนั้นเพราะโจทก์ไปค้าขายต่างจังหวัด โจทก์และจำเลยที่ ๑ ครอบครองที่ดินส่วนของตนเป็นสัดส่วนไม่ปะปนกัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ บุกรุกเข้ามาในที่ดินส่วนของโจทก์แล้วตัดฟันต้นไม้ของโจทก์เสียหายและอ้างว่าที่ดินส่วนของโจทก์เป็นของจำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้สมคบกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพี่สาวทำนิติกรรมอำพรางโอนขายโฉนดตราจองดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ อันเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและไม่มีการซื้อขายกันจริง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดตราจองดังกล่าวครึ่งหนึ่งและเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินแก่โจทก์และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ก. ไม่ได้ยกที่ดินให้โจทก์ เพียงแต่ให้โจทก์อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดิน ต่อมา ก. ขายที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ ๑ แต่ทำสัญญาจดทะเบียนเป็นการยกให้เพื่อจะได้เสียภาษีน้อยลง เมื่อซื้อที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ คงให้โจทก์อาศัยอยู่ต่อไปเพราะเป็นพี่น้องกัน จำเลยที่ ๑ ตัดฟันและเก็บผลไม้ในที่ดินตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน จำเลยที่ ๑ ไม่เคยแบ่งการครอบครองในที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ครึ่งหนึ่งและโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่ง โจทก์ไม่เสียหายเพราะต้นไม้เป็นของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนโอนถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดตราจองตามฟ้องครึ่งหนึ่งโดยการครอบครอง พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แบ่งแยกและจดทะเบียนโอนที่ดินส่วนดังกล่าวแก่โจทก์ เพิกถอนสัญญาซื้อขายโฉนดตราจองระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ก. ยกที่ดินโฉนดตราจองให้โจทก์และจำเลยคนละครึ่ง แต่ทำสัญญาจดทะเบียนให้จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินทั้งโฉนดเพราะโจทก์ไม่ได้ไปสำนักงานที่ดิน ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้รับโอนที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริต ส่วนโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลานานเกินกว่า ๑๐ ปี แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองและยกเป็นข้อต่อสู้จำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายได้ตามมาตรา ๑๓๐๐
พิพากษายืน

Share